หนัง Spider-Man: Homecoming หรือชื่อไทยว่า สไปเดอร์แมน: โฮมคัมมิ่ง ภาพยนตร์เรื่อง Spider - Man: Homecoming เป็นหนังแยกเดี่ยวของสไปเดอร์แมนในจักรวาลมาร์เวล จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในโรงเรียนของเขา โดยเป็นเหตุการณ์ต่อจาก Captain America: Civil War หลังจากที่ "ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์" หรือสไปเดอร์แมนของเรา ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสตีฟ โรเจอร์และโทนี่ สตาร์ค ซึ่งนำไปสู่การแตกแยกของทีมอเวนเจอร์ทั้งทีม ปีเตอร์พยายามจะใช้ชีวิตแบบเด็ก ม.ปลายธรรมดาๆ ไปพร้อมกับการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในหน้ากาก แต่บอกได้เลยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เหมือนอย่างประโยคฮิตที่ว่า "พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"
หนัง Spider-Man: Homecoming หรือชื่อไทยว่า สไปเดอร์แมน: โฮมคัมมิ่ง Following the events of Captain America: Civil War (2016), Peter Parker attempts to balance his life in high school with his career as the web-slinging superhero Spider-Man.
ผู้ชมทั้งหมด
92,410 ครั้ง
|
เข้าฉาย
6 กรกฎาคม 2560
|
ออกโรงแล้ว |
13 กรกฎาคม 2560 12:18:32 (IP 96.30.102.xxx)
|
||||||||
รีวิว “ไอ้แมงมุมสายเกรียน” ฉบับเด็กเดินตั๋ว (ไม่สปอยล์) สไปเดอร์แมนภาคนี้ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี คนรอบข้างมักจะสะกิดให้เด็กเดินตั๋วไปดู แต่ด้วยความที่เด็กเดินตั๋วไม่ค่อยอินกับหนังชุดจักรวาลอะเวนเจอร์สักเท่าไหร่ ด้วยความที่หลับใส่บ้าง จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้ทั้งที่เพิ่งดูไปบ้าง (ต้องขอโทษแฟนๆทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย) แต่ก็เอาหน่อยหน่า... ไปดูสักหน่อย ให้เห็นกับตาตัวเองจะได้รู้ว่าสนุกจริงไหมนะ เพราะเราเองก็มีความชอบหนังมาเวลหลายๆเรื่องอยู่ไหมกัน ทั้ง Ant Man , Doctor Strange , Dead Pool , X-MEN ทำให้เด็กเดินตั๋วมีความคาดหวังกับสไปเดอร์แมนว่ามีความสนุกเช่นกัน และด้วยความที่เคยประทับเวอร์ชั่นไอ้แมงมุมเวอร์ชั่นที่ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และโทบี้ แมกไกวร์ แสดงมาก่อน จึงมีความจับจ้องการแสดงของเจ้าหนุ่ม ‘ทอม ฮอลแลนด์’ สไปดี้น้อยวัยมัธยมต้น ประหนึ่งว่าปักหมุดน้องทอมไว้ตอนเข้าไปดู รสชาติของหนังเป็นหนังวัยรุ่น วัยค้นหาตัวตน เป็นหนัง coming of age มีกลิ่นอายหนังkick ass แต่ก็ไม่เชิง Scott Pilgrim ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะมีส่วนผสมหลักคือหนังซุปเปอร์ฮีโร่แบบฉบับมาเวล หลักๆจะมีไดเร็กชั่นไปทางไอรอนแมน และก็ไม่เกรียนหยดติ๋งเหมือนDead Pool แต่มีความอ่อนวัยกว่า เป็นอีกหนึ่งรสชาติของหนังมาเวลเลยก็ว่าได้ สไปเดอร์แมนภาคนี้ทำให้เรานึกย้อนกลับไปตอนเรายังอายุ15-16 ตอนเราอยู่มัธยม3 หรือ มัธยม 4 เป็นวัยที่เราก็ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ทั้งชีวิต การค้นหาตัวตน พ่อแม่ ผู้ปกครองของเรา ความฝัน ผองเพื่อน และการส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นหนังเรื่องนี้ได้ทำออกมาผ่านการแสดงและบทบาทของเจ้าไอ้แมงมุมวัยละอ่อนน้อย ที่สื่อออกมาได้อารมณ์มากๆ ด้วยบุคลิกและคาแรกเตอร์ที่ไม่เหมือนกับไอ้แมงมุมรุ่นพี่ ทำให้เราได้สัมผัสและเรียนรู้เจ้าแมงมุมตัวนี้อย่างเพลิดเพลิน ไม่มีความคิดแบบว่า ’อ่า...ฉันรู้จักไอ้แมงมุมตัวนี้ดีอยู่แล้วน่า รีบๆสู้กันเถอะ’ แต่เปล่าเลย แมงมุมทอม ฮอลแลนด์ไม่เหมือนตัวเก่าเลยแม้แต่น้อย มีหลายสิ่งให้พิจารณา เรียนรู้และเข้าถึง เชื่อมโยงกับมัน มาพูดในแง่งานสร้าง(Production) กันบ้างดีกว่า เด็กเดินตั๋วมีมาตรฐานสูงสำหรับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทุนสร้างเท่าโครงการอวกาศอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องว้าว ต้องใหญ่ ต้องใหม่ ภาพสวย ซีจีกระจุย เสียงเนี้ยบ ซึ่งจากสายตาเด็กเดินตั๋วนั้น ไอ้แมงมุมแทบจะห้อยต่องแต่งระดับมาตรฐานของเด็กเดินตั๋วเลย (เรื่องมากจังเนอะ) ฉากแอคชั่นก็เดิมๆ มุมกล้องก็ไม่ว้าว ซีจีก็เดิมๆ เสียงก็ไม่ได้เป็นที่จดจำ แต่เพลงดีนะ วัยรุ่นๆชอบเลยล่ะ พล็อตการเดินเรื่องแทบจะรู้จากเทลเลอร์หมดเลย เดาเองต่อได้เลย (อันนี้เด็กเดินตั๋วไม่ได้สปอยล์นะ) กินป๊อปคอร์นหมดถังจนอิ่ม แอร์เย็นๆ เด็กเดินตั๋วหลับเฉย!!? หลับตอนสู้กันตอนสุดท้ายด้วยบอกเลย (- - “) สงสัยไอ้แมงมุมน้อยจะต้านทานแอร์เย็นๆของโรงหนังไม่อยู่ สุดท้ายเด็กเดินตั๋วหลับใส่หนังซุปเปอร์ฮีโร่มาเวลอีกแล้ว ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้จริงๆ ในดีเทลอื่นๆที่เด็กเดินตั๋วชื่นชอบ จะมีคุณป้าเมย์ จะหุ่นดีเซ็กซี่ไปไหน เด็กเดินตั๋วนี่ไม่ได้มองนางเอกเลย มองแต่ป้าเนี่ยแหล่ะ สงสัยแนวป้าๆ เด็กเดินตั๋วจะชอบอยู่เหมือนกัน แต่ป้าวัยรุ่นจริงๆ ไม่เหมือนป้าแมงมุมคนก่อนๆเช่นกัน ป้านี่ก็เป็นตัวแทนผู้ปกครองยุคใหม่ได้ดีเลยแหล่ะ แถมในเรื่องนี้มีร้านอาหารไทยด้วย และเด็กเดินตั๋วซาบซึ้งมากที่เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รัชกาลที่๙ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เป็นการถวายอาลัยของฝั่งฮอลลีวู้ดหรือเปล่าเด็กเดินตั๋วก็ไม่แน่ใจ และอีกหนึ่งคนที่เด็กเดินตั๋วชอบมากๆคือลุงเบิร์ดแมน (จำชื่อไม่ได้จริงๆ) แต่เป็นลุงที่เป็นนักแสดงนำเรื่องเบิร์ดแมน คราวนี้ลุงก็กลับมาเป็นตัวร้ายใส่ปีกเหล็ก เป็นนกเหล็กศัตรูสุดโหดของน้องทอม ดูๆไปก็เหมือนผู้ใหญ่ต่อยเด็กเลย แต่ก็แสดงอารมณ์ได้มาตรฐานของเฮียนกเหล็กเลย คุ้มค่าการดูจริงๆ สรุปเลยดีกว่า เด็กเดินตั๋วว่าดีนะ ไปดูในโรงเถอะ ถ้าดูนอกโรงไม่รู้ว่าเด็กเดินตั๋วจะสนุกเท่าในโรงไหม จะได้อรรถรสเท่ากันไหม (แต่น่าจะเอาไม่อยู่แน่ๆ) แต่ไปทำความรู้จักน้องแมงมุมวัยเกรียนคนนี้กันหน่อยนะ เค้าอาจจะมีบทบาทในจักรวาลมาเวลระยะยาว หรือแท็กมือเข้าแก๊งค์อเวนเจอร์ก็เป็นได้ คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
- เด็กเดินตั๋ว - สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
6
คะแนนเฉลี่ย
6.6
|
||||||||
5 กรกฎาคม 2560 11:20:34 (IP 49.228.127.xxx)
|
||||||||
Spider-Man: Homecoming - สไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่ง 133 min | Action/Sci-fi | Directed by Jon Watts หนังฮีโร่เรื่องล่าสุดจากสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel Studio ที่รอบนี้ได้ 1 ในซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดังที่สุดตลอดกาลอย่างไอ้แมงมุมสไปเดอร์แมน กลับมาทำเป็นภาพยนตร์เดี่ยวเรื่องแรก ซึ่งก็ยังไม่ถือว่าได้ลิขสิทธิ์คืนมาเสียทีเดียวเพียงแต่เป็นการเจรจากับค่าย Sony ในการทำหนังให้ออกมาเชื่อมโยงอยู่ในจักรวาลเดียวกับ MCU และสไปดี้เวอร์ชั่นที่ 3 ในโลกภาพยนตร์นี้ได้ ทอม ฮอลแลนด์ มาแสดง ซึ่งก็ได้ปรากฎตัวไปแว้บๆ แล้วใน Captain America: Cilvil War การรีบูทไอ้แมงมุมครั้งที่ 3 ในโลกภาพยนตร์นี้ทีแรกผมรู้สึกดีมากกับการมาของเขา และการประกาศหนังเดี่ยว Homecoming แต่ทว่าผมค่อนข้างมีปัญหาอย่างมากกับแนวทางการโปรโมทของ Homecoming ซึ่งคิดว่าหลายคนก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน คือมันจะปล่อยตัวอย่างอะไรเยอะแยะ เผยเนื้อเรื่องของหนังจนแทบจะทั้งหมด ไม่เหลืออะไรให้เดาแล้ว แถมยังโปรโมทไอรอนแมนซะอย่างกับนี่คือภาคที่ 4 ของเจ้าเตารีด เลยทำให้ความคาดหวังที่มีต่อหนังเรื่องนี้มันน้อยมาก (และใจคิดว่าจะแย่เลยแหละ) แถมตัวผกก.เองก็ไม่ได้น่าไว้ใจเท่าไหร่ เพราะ จอน วัตส์ ก็มีการกำกับแค่ไม่กี่เรื่อง ที่ผ่านตาไปก็น่าจะเป็นงานอินดี้อย่าง Cop Cars นอกนั้นก็เป็นงานฉายทีวีซะส่วนใหญ่ แต่จะบอกว่าการโปรโมทและหนังที่ออกมา มันสวนทางและหลอกดาวมากๆ ครับ เพราะสิ่งที่เราคิดมันผิดหมดเลย เพราะแท้จริงแล้ว ความทะเยอทะยานของหนังเรื่องนี้ มันไม่ได้มากอย่างที่เราคิด เพราะภาคนี้มันว่าด้วยเหตุการณ์หลังจาก Cilvil War ซึ่ง ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในช่วงวัยรุ่นอายุ 10 กว่าๆ ผู้มี โทนี่ สตาร์ค เป็นไอดอล หลังจากเปิดตัวในสงครามใหญ่แบบนั้น เค้าก็พบว่าตัวเองเป็นได้มากกว่าคนที่คอยช่วยเหลือผู้เดือดร้อนในเมืองทั่วไปแล้ว เค้าพร้อมจะทำภารกิจสำคัญมากมาย เพียงแต่ว่าโทนี่ยังมองว่าปีเตอร์ยังเด็กไปเท่านั้น ปีเตอร์หรือสไปดี้ของเราจึงพยายามทุกทาง เพื่อหาทางพิสูจน์ว่าเขาเป็นฮีโร่ได้ และเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ผมรักในการที่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว อย่างที่บอกหนังมันไม่ได้ใหญ่อะไรมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนดูอนิเมชั่นตอนนึง (ซึ่งกลิ่นอาย mood and tone ของหนังมาในเบอร์นั้น) แต่ที่มันลึกไปกว่านั้นคือ การผันตัวมาเป็นหนัง coming of age อย่างเต็มตัว ซึ่งจุดนี้เองก็เป็นเหมือนดาบสองคมเหมือนกันครับ ข้อดีของมันคือมันพาเราไปสำรวจแง่มุมใหม่ๆ ของตัวละคร ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ หรือสไปดี้ได้ดีและน่าสนใจมาก ด้วยวัยและสภาพสังคมของตัวละครในเรื่อง เหมือนดูหนังไฮสคูลเรื่องนึง แต่ข้อเสียของมันคือจุดนี้มันเด่นมาก แต่ตัวหนังเองกลับละเลย หรือไม่ได้ให้น้ำหนักกับฉากต่อสู้เท่าไหร่ ฉากต่อสู้ในหนังเรื่องนี้จืดและธรรมดามาก ไม่น่าจดจำเท่าไหร่เลย ผมเลยรู้สึกเสียดายมาก ถ้าเน้นตรงนี้อีกนิด Spider-Man: Homecoming อาจจะกลายเป็นภาคที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่หนังเรื่องนี้มันไม่แย่จริงๆ นะครับ โอเคแหละ ไม่ปฎิเสธว่าการที่ปล่อยภาพและตัวอย่างมากมาย มันเป็นข้อเสียจริงๆ หนังคาดเดาได้ง่ายมาก แต่ก็ไม่ได้ว่าเผยหมดขนาดนั้นนะครับ ที่ผมอยากบอกคือพอมาดูจริงๆ หนังมันก็เพลิดเพลินมากๆ เพราะหนังมันอัดแน่นไปด้วยมุกตลก และตัวละครที่มีเสน่ห์หลากหลายมาก นอกจากปีเตอร์แล้วก็ยังมีป้าเมย์สุดแซ่บ เพื่อนเน็ด และเซนดาย่า นอกจากนี้ ตัวร้ายอย่างวัลเจอร์ก็ออกมาดีกว่าที่คิดมากครับ อาจจะเพราะ ไมเคิล คีตัน ค่อนข้างเล่นดีเลยทีเดียว Spider-Man: Homecoming จึงเป็นหนังที่ผมรู้สึกกลางๆ ค่อนไปทางชอบ เพราะมันดูเพลินมาก ดูไป หัวเราะไป ตัวละครน่าจดจำ อ้อแล้วไอรอนแมนกับสตาร์คไม่ได้ออกเยอะอย่างที่คิด ดูจบแล้วเลิกแซวเลย (แหม่แต่การโปรโมทมันชวนคิดจริงอะ) ฉากแอ็คชั่นอาจจะจืดไปก็จริง แต่แฟนมาร์เวล หรือแฟนไอ้แมงมุม ผมเชื่อว่าไม่ควรพลาดกันอยู่แล้วครับ แน่นอนว่าเรื่องนี้มีฉากเอนด์เครดิต 2 ตัวนะครับ ตัวท้ายนี่ดีงามมาก ห้ามพลาดครับ! สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
8
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ