หนัง Dunkirk หรือชื่อไทยว่า ดันเคิร์ก ภาพยนตร์เรื่อง "Dunkirk" เปิดตัวด้วยฉากที่ชาวอังกฤษและเหล่าพันธมิตรนับแสนคน ถูกกองกำลังศัตรูรายล้อมอยู่รอบตัว พวกเขาติดกับอยู่บนชายหาด เบื้องหลังคือท้องทะเล และต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้เมื่อศัตรูเข้ามาประชิดตัว ทีมนักแสดงชื่อดังในภาพยนตร์เรื่อง "Dunkirk" ได้แก่ ทอม ฮาร์ดี้ (The Revenant, Mad Max: Fury Road, Inception), มาร์ค ไรแลนซ์ (Bridge of Spies, Wolf Hall), เคนเนธ บรานอห์ (My Week with Marilyn, Hamlet, Henry V) และซิลเลียน เมอร์ฟี่ (Inception, ภาพยนตร์ไตรภาค The Dark Knight) รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่ เฟียน ไวท์เฮด ทีมนักแสดงที่เหลือ ได้แก่ อนูริน บาร์นาร์ด, แฮร์รี่ สไตล์ส, เจมส์ ดี’อาร์ซี่, แจ็ค ลอว์เดน, แบร์รี่ คีโอแกน และ ทอม กลินน์-คาร์นีย์
หนัง Dunkirk หรือชื่อไทยว่า ดันเคิร์ก Allied soldiers from Belgium, the British Empire and France are surrounded by the German army and evacuated during a fierce battle in World War II.
ผู้ชมทั้งหมด
36,238 ครั้ง
|
เข้าฉาย
20 กรกฎาคม 2560
|
ออกโรงแล้ว |
28 กรกฎาคม 2560 22:56:59 (IP 49.228.123.xxx)
|
||||||||
Dunkirk - ดันเคิร์ก 106 min | Drama/History | Directed by Christopher Nolan ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับที่ดังที่สุดในยุคนี้คนนึง ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงมากในการทำหนัง และสำหรับเรื่องนี้ก็ยังอุดมไปด้วยความน่าสนใจเช่นเคย กับการหยิบยกส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่า ทหารอังกฤษกว่า 4 แสนนายต้องติดอยู่ที่แหลมดันเคิร์ก และต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากข้าศึก ทั้งที่ไล่ต้อนบนบกและโจมตีบนอากาศ ซึ่งจากที่ดูคร่าว ๆ นี่แทบหรือเป็นหนังเรื่องแรกของน้าโนแลนเลย ที่ไม่ได้เล่นกับพลอตที่ซับซ้อนอะไรมาก แต่ทว่ามาเล่นกับการเล่าแบบสับเส้นเวลาไปมา ซึ่งก็ทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้นทีเดียว อย่างที่ทราบกันดี ดันเคิร์ก เล่าผ่านสามมุมมอง และสามเวลา หมายถึงแต่ละเหตุการณ์ใช้เวลาไม่เท่ากัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะมาบรรจบรวมกัน ซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบในเทคนิคของการตัดต่อและถ่ายทำมาก มันทำให้หนังดูเดือดและน่าสนใจตลอดเวลา แต่การบิวท์ด้วยเสียงดนตรีประกอบที่มากเกินไป และการที่หนังให้อารมณ์เดียวตลอดทั้งเรื่อง มันเหมือนจะดีแต่ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน เพราะกลับกลายเป็นว่ากราฟมันสูงจริง แต่ก็ตรงเป็นเส้นเดียวไปตลอด ไม่กลมกล่อมเท่าที่ควรจะเป็น ตอนที่ผมดูรอบแรกสุด ผมเฉยๆ กับหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกไม่อินเลย แต่พอได้ดูอีกรอบนึงก็มีหลายอย่างที่ตกตระกอนมากขึ้น และรู้สึกชอบหนังมากขึ้น อย่างแรกเลยคือนี่ไม่ใช่หนังสงคราม แต่มันเป็นหนังเอาชีวิตรอด (โทนส่วนใหญ่เล่าถึงการหาทางกลับบ้านของทหาร) และไม่ใช่หนังที่บีบคั้นอารมณ์มากเกินไป ในที่นี้หมายถึงไม่ฟูมฟายดราม่า แต่บีบคั้นให้เราลุ้นเอาใจช่วยกับตัวละครที่ไม่ได้ผูกพัน หรือไม่ได้รู้จักดีเท่าไหร่ รู้จักแต่แฮร์รี่ ฮ่า อย่างที่สองผมชอบในพาร์ทของการตีความ "วีรบุรุษสงคราม" ในหนังเรื่องดันเคิร์กมาก เพราะมันให้เราเห็นถึงคนที่แค่มีใจอยากช่วย กับคนที่สร้างวีรกรรมบางอย่างจริง ๆ ทุกคนเป็นวีรบุรุษได้ แม้ว่าผมจะไม่ได้ถึงกับหลงใหลในดันเคิร์กมากนัก เพราะชอบงานของโนแลนแบบที่ล้ำ ๆ กว่านี้มากกว่า แต่ก็อดบอกไม่ได้ว่า นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่อุดมไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะในงานด้านโปรดักชั่นที่มีลุ้นไปถึงออสการ์สาขาเทคนิคต่าง ๆ เด่นมาก และชูหนังให้ดูน่าสนใจสุด ๆ ผมได้รับชมหนังเรื่องนี้ในระบบ IMAX 70 มม ซึ่งต้องบอกว่ามันทำให้เราเห็นซีนดี ๆ หลายต่อหลายซีน ซึ่งผกก. ตั้งใจถ่ายออกมาเพื่อให้ชมในฟอร์แมตพิเศษนี้ และมันงดงามมาก ถึงภาพรวมผมจะเฉย ๆ กับหนัง แต่ก็ยังอยากให้หลายคนได้ดูกัน เพราะขึ้นชื่อว่าโนแลน ก็เป็นอะไรที่ต้องมีประเด็นให้พูดถึงหลังหนังจบ และเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้อยู่แล้ว จริงไหมครับ? สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
7.9
|
||||||||
26 กรกฎาคม 2560 12:13:35 (IP 119.76.52.xxx)
|
||||||||
ทุกการกลับมาของหนึ่งในผู้กำกับฮอลลีวู้ดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นที่น่าจับตาอยู่เสมอ ค่าที่ผลงานในอดีตได้ฝากชื่อของเขาจารึกในโลกภาพยนตร์อย่างเกรียงไกร และสร้างแรงกระเพื่อมมหึมาทุกครั้งที่หนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เข้าสู่โรงภาพยนตร์ หลังจาก Interstellar ภาพยนตร์ไซไฟหนักดราม่า ที่สร้างความฮือฮาน้ำตาแตกเมื่อสามปีที่แล้ว โนแลนกลับมาด้วยหนังสงครามพล็อตเรียบน้อยแต่สุดหนักแน่นอย่าง Dunkirk ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลงานท็อปฟอร์มลำดับต้นๆ เรื่องหนึ่งในอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ หนังสร้างเรื่องอ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง เหตุการณ์ที่กองกำลังทหารของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ถูกกองทัพนาซีเยอรมันล้อมทางไว้หมดทางหนีทีไล่ ได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินของเยอรมันทิ้งระเบิดปูพรมใส่อย่างสิ้นหวังเพราะเรือที่จะพาอพยพกลับบ้านเองนั้น ก็ถูกศัตรูจมลำแล้วลำเล่า โนแลนเลือกเล่าเรื่องผ่านบุคคลหลายๆ ฝ่ายที่มีส่วนในการปฏิบัติภารกิจอพยพพาทหารสหราชอาณาจักรทั้งหมดกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นตัวนายทหารที่ต้องเอาชีวิตตัวเองกับเพื่อนทหารให้รอด ทหารอากาศที่ต้องกวดเครื่องบินรบไล่ทำลายเครื่องบินของเยอรมันที่คอยจะทิ้งระเบิดใส่ทหารฝ่ายตนที่อยู่เบื้องล่าง ไปจนถึงพลเรือนที่ได้รับคำสั่งให้นำเรือส่วนตัวไปช่วยรับเหล่าทหารที่สู้เพื่อประเทศชาติฝ่ายตนกลับมาสู่ “บ้าน” ของพวกเขา โนแลนเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม พล็อตเพียงบางเบาที่ตัดสลับการเล่าเรื่องไปมาผ่านมุมมองของตัวละครหลายตัวรับและส่งกันได้อย่างลงตัว ความหนักแน่นของการออกแบบจังหวะการเล่าเรื่องได้รับการสนับสนุนด้วยสกอร์สุดทรงพลังจากคอมโพสเซอร์ตัวพ่อแห่งวงการอย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ ทำให้ตลอดความยาวเกือบสองชั่วโมงของหนังที่แทบจะเน้นเส้นพล็อตเรื่องน้อยมากๆ กลับไม่มีช่วงจังหวะน่าเบื่อให้รู้สึกเลย แต่ความสุดยอดทรงพลังของภาพและเสียงที่สมจริง สะกดจิตให้รู้สึกราวกับว่าเราคนดูได้ไปอยู่ในสมรภูมิสงคราม และหนีเอาชีวิตรอดไปพร้อมๆ กับตัวละครเลยทีเดียว อีกสิ่งที่น่าสนใจและถือเป็นซิกเนเจอร์ของโนแลน คือการดีไซน์ซีนที่เป็นภาพจำระดับขึ้นหิ้ง แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดทางวิชวลภาพยนตร์ชั้นครู ก็ปรากฏให้เห็นอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะฉากโชว์ออฟของ ทอม ฮาร์ดี้ ในช่วงท้ายเรื่องที่โคตรเท่และเหนือชั้นเอามากๆ จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมโนแลนถึงเป็นผู้กำกับที่คอหนังสมัยนี้กราบกรานบูชากันนัก แม้ประเด็นแมสเสจที่หนังจะสื่อยังมีฟีดแบ็กที่แตกเป็นสองทางอยู่บ้าง แต่ความเก่งกาจในการเล่าเรื่องด้วยจังหวะและวิชวลเฉพาะตัวที่โดดเด่น เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่ คือผู้กำกับแถวหน้าแห่งยุคของฮอลลีวู้ดอย่างแท้จริง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
8.5
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8.6
|
||||||||
22 กรกฎาคม 2560 22:29:12 (IP 171.5.248.xxx)
|
||||||||
รอดไหม.....ถามใจดู? รีวิวดันเคิร์ก ฉบับเด็กเดินตั๋ว - ไม่สปอยล์
เปิดเรื่องด้วยฉากแรกที่มีความน่าติดตามและได้อารมณ์เป็นอย่างมาก พาเราเข้าไปสู่โลกของความกันดาร การเอาตัวรอดอันยากลำบากของเหล่าทหารในสงคราม จากชุมชนหมู่บ้านไปสู่ชายหาดที่เราเห็นกันในตัวอย่างหนัง แทบจะกดดันทุกวินาทีเลยสำหรับตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็... อารมณ์นั้น ทะเลนั้น ท้องฟ้านั้นตลอดเรื่องเลยจ้า รสชาติเป็นไง ด้วยความเป็นหนังสงคราม และเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เกิดการกระทำอันโหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างมาก ทั้งที่ฝั่งอักษะกระทำต่อชนชาติอื่น หรือยุทธวิธีทางการทหารที่โหดร้ายมากมายเหล่านี้ ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ปะปนผสมผสานหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ทั้งฮึกเหิม โศกเศร้า กดดัน เครียด การเอาตัวรอด การต่อสู้แสนดุดัน การต่อสู้แสนทารุณ เรื่องราวความเป็นความตาย ความหมายของชีวิต ความกรุณา และอำมหิต ความรู้สึกเหล่านี้มักถูกถ่ายทอดออกมาในหนังสงครามอยู่แล้ว ไม่ว่าจะ Fury, Saving Pirate Ryan, The Thin Red Line, Life Is Beautiful, The Pianist, Antonement ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ให้อารมณ์ดังกล่าวได้อย่างเฉียบคม หรือแม้แต่ภาพยนตร์อนิเมชั่นอย่าง The Grave Of Fireflies ของค่ายจิบลิก็ถ่ายทอดเรื่องราวของสงครามออกมาได้อย่างน่าชื่นชม แต่สำหรับดันเคิร์กในความคิดเห็นของเด็กเดินตั๋วเห็นว่าค่อนข้างจะ "ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่" หรือเฉียบคมเท่าภาพยนตร์ที่เด็กเดินตั๋วกล่าวมาข้างต้นเลย ทุกอย่างดูก็ตาย... ก็ระเบิด... แต่เด็กเดินตั๋วกลับรู้สึกว่าเฮียผู้กำกับแกใจดีจังเลย ถ่ายทอดออกมาได้ไม่โหดร้ายสักเท่าไหร่เลย กลมกล่อม แต่ไม่คม ถ้าเปรียบกับต้มยำก็คงจะครบรสต้มยำ แต่ไม่จัดจ้านประมาณนั้น เป็นหนังสงครามที่ไม่ค่อยจะโหดร้ายนัก เป็นนำเสนอเรื่องราวผ่านยุทธวิธีไหม ก็ไม่เชิงนะ ไม่โหดล้ำลึกเหมือน Fury ไม่น้ำตาตกแบบ Grave Of Firefiles, Life Is Beautiful ไม่เจ็บปวดแบบ Antonement, The Pianist แต่ก็ได้ฟีลครบผสมผสานแต่ไม่ลึกซึ้งดำดิ่งไปทิศทางไหนสุดๆ ถ้าถามว่าดูดีไหม...ดียังไง? ดีตรงโนแลนเนี่ยแหล่ะ... ก็นี่มันหนังสไตล์โนแลน ก็ได้รับชั้นเชิงการเล่าเรื่องได้คมๆ ซับซ้อนๆ แต่แยบคายแบบโนแลนไปให้ขบคิดเล่น (แต่สำหรับหลายคนที่ไม่คุ้นเคย ก็คงจะปวดหัวกันบ้าง งงกันบ้าง) ดีตรงเพลง ได้เฮีย ฮานส์ ซิมเมอร์ เจ้าประจำมาช่วยควบคุมทิศทางและอารมณ์ของหนังเอาไว้ เพลงเนียบ ตีความคมบาดลึกเหมือนเดิม เด็กเดินตั๋วมองว่าเพลงของฮานส์โดดเด่นกว่าภาพอีก ในบางฉาก แทบจะอุ้มหนังเรื่องนี้ไว้เลย ภาพก็ดี มีความเคลื่อนไหวกล้อง หรือ Composite องค์ประกอบภาพแบบภาพยนตร์เรื่อง Interstellar อยู่หน่อยๆ นะ ดูใหญ่ดี ถ้าดู IMAX ก็จะฟินกับภาพมากๆ ถือว่าหนังเรื่องนี้ดีในแทบทุกองค์ประกอบเลยล่ะ ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง, เพลง, ภาพ ส่วนการแสดงเด็กเดินตั๋วมองว่าไม่ได้ลุ่มลึกเหมือนจ่าแบรดพิทกับพลทหารเด็กหนุ่มใน Fury แต่ถ่ายทอดอย่างกลางๆ แถมเราได้เห็นฝีมือการแสดงของ แฮรี่ สไตล์ นักร้องบอยแบนด์จากวง One Direction ด้วย สำหรับเด็กเดินตั๋ว ดันเคิร์กว้าวไหม ยังไม่นะ แต่ก็ถือว่าชอบเฉยๆ ยังไม่ค่อยผ่านมาตรฐานของหนังสงครามในระดับที่เด็กเดินตั๋วคาดหวังเอาไว้ แต่แนะนำให้ดูเลยล่ะ จะยังไงก็เป็นเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลก ถ้าไม่ได้ยุทธการที่ดันเคิร์กนี้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็มิอาจยกพลขึ้นที่นอร์มังดีได้เลย สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
10
การดำเนินเรื่อง
10
ดนตรีประกอบ
10
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
8.8
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
boy
22 กรกฎาคม 2560 09:40:41 (IP 183.89.202.xxx)
|
||
GUEST |
อยากให้สาขาหาดใหญ่ปรับราคาตั๋วลงให้เท่ากับสาขา รัชโยธินครับ
|
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ