The Couple รัก ลวง หลอน (Talent1 Team / Thailand / 2014)
หลังจากได้ดูก็ยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่ารายนามผู้กำกับและคนเขียนบทตัวเป้งท็อปฟอร์มฝั่งหนังนอกกระแสไม่ว่าจะเป็น พิมพกา โตวิระ, คงเดช จาตุรันรัศมี และ ศิวโรจน์ คงสกุล ในเครดิตท้ายเรื่อง ในช่วงเวลาทั้งหมดของ Pre-production, Production และ Post Production ได้เกิดมรสุมอะไรกับพวกพี่ๆ เขาขณะปลุกปั้นโปรเจ็กต์นี้ แน่นอนว่ามันต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง...
ทั้งๆ ที่ The Couple มีพล็อตที่น่าสนุกและพร้อมจะเป็นหนังดราม่าสะเทือนอารมณ์และสืบสวนสอบสวนที่แยบยลได้ไม่ลำบากให้ระคายมือฉมังทั้งสามรายชื่อนั้น เพราะเท่าที่ผ่านมาผลงานของผู้กำกับทั้งสามคนต่างมีมิติที่ลุ่มลึกโดดเด่นและน่าสนใจเพียงแต่ไม่ใช่หนังในกระแสหลักเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้พูดถึงคนทำหนังที่ทำทั้งหนังอินดี้และทำหนังตลาดเราก็เคยเห็นงานเข้าที่เข้าทางและเข้าท่ามากกว่านี้จนประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งคำวิจารณ์และรายได้นี่หว่า แล้วที่เป็นแบบนี้ก็คงเป็นเพราะน้ำมือของผู้บงการสักคนที่ยึดโมเดลการเขียนบทเป็นทีมมาใช้แต่ก็ยังยึดหลักลอยของตัวเองเป็นสรณะ
โดยส่วนตัวคิดว่าแค่ลำพังพล็อตเกี่ยวกับความขัดแย้งความสัมพันธ์ของคู่รักและสมาชิกในครอบครัวมันมีมิติของมันเองมากพออยู่แล้วที่จะหยิบควักเอามาเล่นให้เนื้อหนังมันน่าสนใจ ยกตัวอย่าง หนังผีไทยอย่าง ลัดดาแลนด์ หรือหนังผีฮอลลีวู้ดอย่าง The Conjouring ที่ลงลึกความรู้สึกของตัวละครได้อย่างมีพลัง ทิฐิความสำเร็จและความล้มเหลวของคนเป็นพ่อ ความรักและการต่อสู้ของคนเป็นแม่ สำหรับ The Couple ที่ถึงแม้ความขัดแย้งเรื่องคนรักที่ถูกผีสิงจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้หรือไม่นั้นจะมีประเด็นความรักความเชื่อซึ่งกันและกันที่ลงท้ายด้วยบทสรุปที่มีพลังมากพอแค่ไหน แต่ถ่ายทอดออกมาได้แค่ผิวเผินเพียงการเล่าผ่านแต่ละฉากเพื่อให้เรื่องราวมันเดินไปข้างหน้าได้ก็เท่านั้น ในท่าทีเร่งรีบจนไม่หลงเหลือความละเอียดอ่อนในการเชื่อมโยงอารมณ์ตัวละครให้เราคล้อยตามได้เพียงพอ รับรู้ได้แค่เรื่องราวความเป็นไปทิ้งคนดูไว้ภายนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ อย่างหดหู่กับเวลาที่ค่อยๆ ผ่านเลยไป ทั้งๆ ที่พอมองเฉพาะบางฉากโดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่มันกลมกล่อมสามารถจับบรรยากาศช่วงเวลาเริ่มต้นได้อยู่มือถึงมันจะมีตอไม้โผล่มาให้สะดุดระหว่างเดินไปข้างหน้าอยู่บ้างแต่มันก็ยังดูดีมีอะไร แต่พอมารวมกันเป็นเรื่องเดียวตัวละครทุกตัวแทบจะจับมือสามัคคีกันเดินตรงดิ่งวิ่งลงเหวและจบเรื่องจบราวง่ายกว่าที่คิด
...สปอยล์...
ทั้งที่มีการปูทางได้น่าสนใจในช่วงเซ็ตอัพแรกๆ แต่บางอย่างก็ไม่เข้าที อย่างการสร้างตัวละครอย่างรัฐมนตรี(ปิ๊บ-รวิชญ์) มันดูจงใจเกินไปและใหญ่เกินหนังโดยไม่จำเป็น การเป็นแค่คนรวยเลวๆ ไม่ต้องมีตำแหน่งทางการเมืองน่าจะมีมิติที่น่าสนใจกว่าเมื่อเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางการเมืองจริงๆ ไปมากกว่านี้ ซิการ์ในมือตัวละครที่จับสังเกตไม่ยากเชื่อมโยงกับรอยดำรูปวงกลมบนแผ่นหลังศพได้ง่ายๆ แทนที่จะสร้างร่องรอยให้เกิดความสงสัยแต่กลับคลี่คลายจนแทบเฉลยปมได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น แต่ส่วนตัวในตอนนั้นก็ยังคิดว่าหนังต้องฉลาดและซับซ้อนมากกว่านี้แน่ๆ แต่สุดท้ายจนจบเรื่องก็ไม่ได้นำพาไปสู่สิ่งใดนอกจากการนั่งดูผีแก้แค้นให้คนพวกนี้ตายไปทีละคน
แผลใหญ่ๆ ในช่วงเซ็ตอัพยังมีอยู่ทั่วไป แต่ทั้งหมดนี้มันยังซ่อนอยู่เพราะเรายังไม่ได้รู้สึกปวดแสบแผลพวกนี้มากนักด้วยความหวังที่ว่าหนังต้องฉลาดและซับซ้อนมากกว่านี้ จนมาถึงช่วงกลางเรื่องที่ตัวละคร กุล(จ๋า-วรัลชญาน์) ถูกฆ่า เป็นสัญญาณว่าหมดเวลาปลูกผักชีเพราะจะนำไปสู่ช่วงวิ่งหนีผีหลอกกันเต็มที่แล้ว ทั่งที่เรายังไม่ได้รู้สึกอินกับความผูกพันของตัวละครตัวไหนเลยแม้กระทั่งพระเอกนางเอก ฉากสูบบุหรี่ช็อตแรกที่เปิดเรื่องด้วยภาพความสัมพันธ์และลักษณะตัวละครได้น่าสนใจมากๆ แต่ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าหน้าที่เล่าบุคลิกแตกต่างนั้น ฉากชวนไปเที่ยวฮันนี่มูนในห้องน้ำเป็นฉากลองเทคที่โรแมนติกดีนะ แต่เมื่อการสัญญาจะไปมัลดีฟไม่ได้สร้างความรู้สึกผูกพันอะไรไปมากกว่าการไปเกาะเต่าซึ่งมันก็ไม่ได้เอ็ฟเฟ็กต์รุนแรงกับฉากสุดท้ายมากเท่าที่ควร คือการเลือกบทสนทนาหรือเลือกฉากมาเล่าความผูกพันมันขาดสื่อที่จะนำพาความรู้สึกได้มากกว่านี้ หรือสิ่งที่เจอบนจอแล้วจะรู้สึกถึงความผูกพันของพระเอกนางเอก อย่างเช่น ชุดวันแต่งของผีสิตาที่ตัดสองชุด มีเพื่อเล่าอะไรนอกจากใช้เป็นมุกผี การที่พระเอกตัดผมนางเอกให้สั้นมีเพื่ออะไรนอกจากเล่าคาแร็กเตอร์และความสัมพันธ์แต่มันยังไม่ได้ใช้เป็นฟังก์ชั่นในการต่อยอดความรู้สึกในเหตุการณ์ต่อไป ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นตามนี้นะแต่รู้สึกว่ามันขาดอะไรประมาณนี้
บทสนทนาในแฟลชแบ็กตั้งแต่ต้นเรื่องระหว่างผีสิตากับนางเอกก็ไม่ได้นำพาไปสู้เงื่อนงำหรือเงื่อนไขอะไรระหว่างผีกับคนที่ถูกเข้าสิง อาจารย์วรรณาที่ล่องลอยไม่มีตัวตนเหมือนถูกนักแสดงแคนเซิ่ลคิวถ่าย ส่วนเหล่านี้ค่อยๆ ทำให้เรารู้สึกตัวว่าทุกอย่างที่เรารู้สึกว่าดีในระดับขั้นชอบมากๆ จริงๆ แล้วเป็นแค่ทุ่งผักชีสวยสดที่ช่วงกลางๆ มันเริ่มขาดปุ๋ยดีๆ เพราะคนทำผสมสูตรพลาด หนำซ้ำยังปล่อยแมลงตัดต่อหรืออาจจะเป็นแมลงถ่ายมาไม่ครบก็ไม่ทราบเข้ามาแทะฉากไคลแม็กซ์จนผักชีเหลือแต่ตอ ถัดจากการตายของ มุก(เจีย-สฤญรัตน์/แม่ดาวฮอร์โมน) ที่การตัดต่อจังหวะนั้นทำลายมากๆ เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เลวร้ายไปมากกว่าและมันก็ดีขึ้มาได้จริงๆ ในฉากสุดท้ายของ กร(เต๋า-เศรษฐพงษ์) ที่รุนแรงสาสม โดยเฉพาะฉากจบที่ถ้าหากก่อนหน้านั้นหนังทำดีมาทั้งเรื่องฉากจบนี้จะกลายเป็นหนึ่งในฉากในหนังไทยที่น่าจดจำมากที่สุดในปีนี้และสามารถฉุดความรู้สึกเราให้ดำดิ่งไปพร้อมกับเข่าทรุดได้โดยที่ไม่ต้องพร่ำพรรณนาแม้แต่ประโยคเดียว แววตาที่พร้อมจะเสียสละน่าสงสารของ ออม-สุชาร์ และสายตาความกลัวและอาฆาตแค้นของ กอล์ฟ-พิชญะ มันส่งอารมณ์ได้ดีจนน่าเสียดาย
ความคิดเห็น (1)