หนัง Bumblebee หรือชื่อไทยว่า บัมเบิ้ลบี ย้อนกลับไปในปี 1987 บัมเบิ้ลบีค้นพบที่หลบภัยอยู่ในพื้นที่เก็บของเก่าในเมืองริมชายหาดเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี ค้นพบบัมเบี้ลบี ในสภาพรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองที่ผุพัง ผ่านศึกมาหนัก และในไม่ช้า เธอก็รู้ว่าบัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถเต่าธรรมดาเลย
On the run in the year 1987, Bumblebee finds refuge in a junkyard in a small Californian beach town. Charlie, on the cusp of turning 18 and trying to find her place in the world, discovers Bumblebee, battle-scarred and broken.
ผู้ชมทั้งหมด
50,806 ครั้ง
|
เข้าฉาย
20 ธันวาคม 2561
|
ออกโรงแล้ว |
25 ธันวาคม 2561 10:42:43 (IP 119.46.186.xxx)
|
||||||||
[รีวิว] - Bumblebee (อาจมีเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน) จะเรียกว่านี่คือหนัง Transformers ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้! เพราะมันทำให้ลืมภาพระเบิดภูเขาเผากระท่อมเวอร์ชั่นของ Michael Bay ไปเลย ในเรื่องนี้มีหลายอย่างที่เวอร์ชั่นก่อนๆ ไม่มี (สิ่งที่ดี) Bumblebee มีความเป็นหนังแอ็คชั่น ดราม่า ที่ใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ของหุ่นเหล็กกับมนุษย์เอาไว้ และมีความเป็นหนังแนว Coming of age อยู่เต็มตัวด้วย ด้วยความที่มันเป็นแบบนั้น หนังเลยไม่ได้จัดฉากแอ็คชั่น บ้าระห่ำ ระเบิดเมือง ตู้มต้ามเหมือน Michael Bay แต่หันมาใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองตัวละครมากกว่า ว่ากันตามตรง Bumblebee นี่มันพล็อตที่เชยมาก กับการปรากฏตัวของเอเลี่ยนมาบนโลกมนุษย์ ได้พบกับเด็กสาว/ชาย คนหนึ่ง ทั้งสองก็ผูกพันกัน รักกัน เป็นเพื่อนกัน และก็มีเหล่ารัฐบาลมาตามล่าตัวด้วยเหตุผลต่างๆ ไอ้เรื่องราวแบบนี้เราเคยเห็นมันมาแล้วในหนังหลายเรื่อง เรียกได้ว่าพล็อตแบบนี้มันเหมือนสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้เลย แต่ต้องขอชมว่า Travis Knight ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้สนุกเลยแหละ Bumblebee เปิดเรื่องได้น่าประทับใจมากและเป็นสิ่งที่แฟนๆ หลายคนอาจจะรอคอยเลยก็ว่าได้ กับฉากสงครามแอ็คชั่นบนดาว Cybertron ที่เราได้เห็นหุ่น Transformers Generation 1 มากมายหลายตัวทั้งทางฝั่ง Decepticon หรือ Autobot นี่เข็นกันออกมาได้จัดเต็ม และทำให้นึกถึงการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็กเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ฉากแอ็คชั่นเปิดเรื่องดีเท่านั้น ฉากแอ็คชั่นทุกฉากในเรื่องนี้ถึงแม้มันจะน้อย แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากกว่าฉบับ Michael Bay เยอะมาก ไม่เพียงแต่มันดูรู้เรื่อง มันยังดูไหลลื่นอีกด้วย ถึงมีน้อยแต่ยอดเยี่ยมทุกฉาก สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือตัวละครหลักอย่าง Bumblebee หนังให้ความสำคัญกับตัวละครมากๆ มากกว่าแฟรนไชส์ Transformers ที่ผ่านมาไหนๆ Bumblebee ในเรื่องนี้ได้รับบทตัวเอกอย่างเต็มตัว และได้พระเอกเสียงหล่ออย่าง Dylan O’Brien มาให้เสียงพากย์อีกด้วย (ถึงแม้จะน่าเสียดายและน่าหงุดหงิดก็ตาม ที่ให้เสียงพากย์ตัวละครแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น!!!) เชื่อว่าหลายๆ คนที่ดูจบ อาจจะอยากได้ Bumblebee กลับไปเลี้ยงที่บ้านเลยก็ว่าได้ เพราะการกระทำต่างๆ ความไร้เดียงสา นิสัยใจคอ ความมุ้งมิ้ง น่ารัก น่าเอ็นดู แบบจัดเต็มโคตรๆ เหมือนนางเอกเก็บหมาเก็บแมวมาเลี้ยงยังไงยังงั้น บวกกับความน่ารักของน้อง Hailee Steinfeld ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองตัวละครดูมีมิติมากขึ้น (แน่นอนว่าเราจะไม่ได้เห็นการแหกปากโวยวายเรียกชื่อหุ่นตลอดทั้งเรื่องอย่าง Shia LeBeouf แน่นอน) ซึ่งฉบับของ Michael Bay จะใช้ตัวละครหญิงเป็นเหมือน Sex Symbol มากกว่าจะมาใส่ใจตัวละครแบบในเรื่องนี้ แต่ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงนางเอกก็ไม่ได้เล่นดีมากจนน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้เล่นแย่จนรับไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีหน้าตาน่ารัก ความไร้เดียงสา กับบทที่ช่วยส่งให้เราเอาใจช่วยเธออยู่เล็กๆ เหมือนกัน และอีกหนึ่งสิ่งที่ชอบก็คือกิมมิคการคุยกันของ Bumblebee กับ Charlie Watson ที่มีการติดต่อสื่อสารกันผ่านวิทยุโดยใช้เสียงเพลงแทนคำพูดต่างๆ ของตัว Bumblebee เอง (ใช่แหละว่าเราเคยได้เห็นกันมาจากในแฟรนไชส์ Transformers ก่อนหน้านี้แล้ว กับการเอาคำจากวิทยุมาต่อเป็นคำพูด) แต่เรื่องนี้ใช้เพลง ซึ่งมันยังสะท้อนให้เห็นถึงวัยรุ่นที่ชอบฟังเพลง และวัยรุ่นกับเสียงเพลงมักมาคู่กันเสมอ เสียงเพลงเหล่านั้นยังเป็นมุกฮาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้หลายฉากเลยทีเดียว เพลงเหล่านั้นยังเป็นเพลงยุค 80s ที่คุ้นหู และเพราะเหมาะสมกับหนังสุดๆ ด้วยความที่หนังไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นจ๋า ทุกๆ 5 นาที และไม่ได้เล่นใหญ่เล่าเรื่องไกลตัว Bumblebee จึงเป็นหนังที่เข้าถึงง่าย และทำให้เรารู้สึกอบอุ่นกับความน่ารัก และเอาใจช่วยสองตัวละครไปจนจบทั้งเรื่อง หนังยังกลมกล่อม ด้วยมุกตลกต่างๆ ที่ล้วนใส่มาถูกจังหวะจะโคนเสียเหลือเกิน แต่มันก็ยังมีข้อที่น่าเสียดายอยู่บ้าง นั่นก็คือการมีอยู่ของตัวละครชายผิวสี ที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเขามีความจำเป็นกับเรื่องราวในหนังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อเกี่ยวกับการแข่งขันว่ายน้ำ ที่มันไม่จำเป็นและไม่สามารถมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เป็นจุดพีคได้ขนาดนั้น (แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าซึ้งอยู่เหมือนกันในประเด็นเดียวกัน) และสุดท้ายที่สำคัญเลยอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า หนังไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับเนื้อเรื่อง มันจึงจำเจและเชยไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่มันทำออกมาได้สนุก และถ้ามันมีอะไรที่ดีกว่า ดราม่าที่เข้าถึงกว่านี้ เรื่องนี้จะเป็นหนังที่ดีมากๆ เลยทีเดียว สรุป Bumblebee เป็นหนังที่ดูได้สนุกเลยแหละ สำหรับคนไม่เคยดูภาคไหนมาก่อนหรือลืมก็สามารถไปดูได้ เพราะจะเป็นเรื่องราวก่อน Transformers ทุกภาค ตัวละครน่ารัก ฉากแอ็คชั่นไม่เยอะแต่ดี Bumblebee กับฉากเปิดเรื่องก็คุ้มแล้ววววววว ปล. ไม่ได้ไปดูพากย์ไทยนะ จะไม่ขอพูดถึงละกั๊นนนน สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8
|
||||||||
19 ธันวาคม 2561 16:06:47 (IP 101.108.105.xxx)
|
||||||||
BumbleBee จากจุดสูงสุดคืนสู่สามัญ นับตั้งแต่ปี 2007 ไมเคิล เบย์คือผู้ปลุกกระแสหนังหุ่นยนต์เอเลี่ยนของเล่น ออกมาสู่โลกภาพยนตร์ ซึ่งส่วนตัวผมเอง Transformers ภาคแรกคือสิ่งแปลกใหม่และน่าจดจำที่สุดแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าไมเคิล เบย์นั้นได้หลงทิศทางไปซะไกล ด้วยความที่อยากเล่นใหญ่ ในหนังภาคต่อตั้งแต่ภาค 2 ทำให้ภาค 3-5 หนังเองยิ่งต้องเล่นอะไรที่มันยิ่งใหญ่เวอร์วังขึ้นไปอีกเป็นขั้นๆ ไป โดยที่ไม่ได้สนความเรียบง่ายในการเล่าเรื่อง มันเลยทำให้ภาคหลังๆ นั้น เน้นแอคชั่นเข้าว่า กับ CG สุดอลังการ แต่ผลที่ได้ คนดูเริ่มเบื่อกับการเล่นใหญ่แบบนี้แล้ว เรียกง่ายๆ คือเอียนนั่นเอง ทำให้ภาคสุดท้ายอย่าง The Last Knight ทำเงินได้น้อยมากในตาราง Box Office ถึงขั้นเป็นภาคที่ค่ายหนังเองยอมปิดประตูภาคต่อกันเลยทีเดียว (แต่ด้วยที่โปรเจค BumbleBee ได้เดินเครื่องถ่ายทำกันไปแล้ว จึงสายเกินที่จะยกเลิกโปรเจค) BumbleBee ถือเป็นภาคแรกที่ดึงคาแรคเตอร์หุ่นยนต์หลักจากซีรีย์ชุดนี้เป็นหนังเดี่ยวเรื่องแรก แถมเป็นภาคแรกที่ไมเคิล เบย์ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วย ภาคนี้กำกับโดย ผู้กำกับที่มีผลงาน Animation แบบ Stop Motion อย่างเรื่อง Kubo เป็นผู้กำหนดชะตาอาณาคตแฟนไชร์นี้ หลายคนก็แอบหวั่นๆ เพราะตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างมา พร้อมทั้งโปสเตอร์ มันมีความเป็นหนังทุนต่ำ หรือบางคนมองเป็นหนังเกรด B เลยด้วยซ้ำไป แต่แล้วจนกระแสรีวิวใน Rottentomatoes ปล่อยออกมาด้วยคะแนน มะเขือสด 100% ทำให้ทั้งโลกได้กลับมาจับตาและตั้งตารอดูหนังเรื่องนี้ เนื้อเรื่องภาคนี้จะเล่าย้อนไปสมัยที่ BumbleBee ได้หลบหนีเอาตัวรอดจากสงครามดาวไซเบอร์ตรอน มายังโลก และได้กบดานแปลงร่างเป็นรถเต่าสุดคลาสสิค จนกระทั่งได้พบกับชาร์ลี เด็กสาวผู้สูญเสียพ่อ ทำให้ทั้งคู่ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน หลังจากได้ดูแล้วต้องบอกเลยว่า พล๊อตเรื่องนั้นมีความเรียบง่ายมาก มีความคล้ายคลึงกับหนังคลาสสิกอย่าง ET ที่กำกับโดยสตีเวน สปีลเบริก ก็ว่าได้ ตัวหนังเองเต็มไปด้วยความสนุก กลมกล่อมในด้านบทสนทนา การถ่ายถอดออกผ่านการแสดงทั้งของคนและ CG หุ่น BumbleBee ทำให้คนดูอินได้ เห็นใจ มีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร มากกว่า Transformers ทุกภาคเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าหนังเองจะมีฉากแอคชั่นที่เรียกได้ว่าน้อยโคตร แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่มีเสน่ห์น่าติดตามทำให้ผลลับที่ได้ ตัวหนังมีความกลบกล่อมลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเรียบง่ายแต่ Impact กับความรู้สึกคนดูสูงมาก ถือเป็นจุดเปลี่ยนของแฟรนไชส์นี้เลยก็ว่าได้ (หวังว่าคงได้แยกหน่อทำภาคแยกดีๆ แบบนี้ได้อีกหลายภาคนะ) 8.5/10 สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
8.5
|
||||||||
16 ธันวาคม 2561 18:38:23 (IP 184.22.226.xxx)
|
||||||||
Bumblebee " บัมเบิ้ลบี " 113 min | Action/Sci-fi | Directed by Travis Knight เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ? หนังเล่าย้อนกลับไปในปี 1987 ตอนที่ บัมเบิ้ลบี หรือ บี127 หนึ่งในนักรบของออโต้บ็อต เดินทางมายังโลกเพื่อสร้างฐานที่มั่นและรวบรวมกำลังพล รวมไปถึงยังต้องคอยปกป้องโลก จากดีเซ็ปตีคอนอีกด้วย จากการต่อสู้และหลบหนี บัมเบิ้ลบีจึงได้พบกับ ชาร์ลี เด็กสาวที่กำลังจะอายุครบ 18 เข้า เพราะว่าชาร์ลีต้องการอยากที่จะมีรถของตัวเองและรถที่เธอได้มาแท้จริงแล้ว ก็คือบัมเบิ้ลบีนั่นเอง ความรู้สึกแรกหลังดูจบ.. ในที่สุด แฟรนไชส์นี้ก็มีภาพยนตร์น้ำดีกับเขาสักที หลังจากเปลี่ยนมือจากไมเคิล เบย์ มาสู่ ทราวิส ไนท์ ซึ่งเขาคนนี้เนรมิตรหนังเรื่องนี้ให้มีมิติที่น่าสนใจในเรื่องของบทภาพยนตร์ บรรยากาศ และตัวละครมากยิ่งขึ้น จึงทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นไปที่ฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อม พังโลกกันเล่นแบบหนังหลายภาคที่ผ่านมา สิ่งที่น่าชื่นชม พอเจาะลึกไปที่แง่มุมของตัวละครมากขึ้น มันเหมือนไม่มีอะไรมากั้นระหว่างคนดูกับตัวละครในหนังอีกแล้ว เพราะมันทำให้เราอินกับความสัมพันธ์ ระหว่าง ชาร์ลี และ บัมเบิ้ลบี มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงความน่ารักของเจ้าบีที่น่ารักน่าเอ็นดู ปลดปล่อยความเป็นน้องงงงง ออกมาได้เต็มที่ นอกจากนี้หนังยังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ 80s vibe หนังไฮสคูล ความซาบซึ้งแบบหนังมิตรภาพ และความอบอุ่นหัวใจแบบหนังครอบครัว รวมไว้ที่เรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าตัวหนังเองจะลืมความเป็น TF ไป หนังยังคงมีฉากแอคชั่นที่ดูสนุกอยู่เหมือนกัน สรุป โดยรวมแล้ว Bumblebee เป็นอีก 1 หนังส่งท้ายปี ที่น่าประทับใจ และไม่ใช่แค่หนังขายของเล่นเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่อุดมไปด้วยความอบอุ่นและความน่ารักที่ยังสนุกและน่าติดตาม ถือว่าเป็นการคัมแบ็คที่สวยงามทีเดียวสำหรับแฟรนไชส์นี้ สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
9.5
คะแนนเฉลี่ย
8.5
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
5 กุมภาพันธ์ 2562 07:35:20 (IP 171.7.246.xxx)
|
||
ชอบมาก
|
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ