หนัง Venom - เวน่อม

Venom (2018)

    ใครจะคิดว่าหนังตัวร้ายอย่างเวนอม จะไม่ได้เรท R แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังนะ จัดฉากแอ็คชั่นมันๆไว้เยอะมาก แต่ก่อนดูอาจจะต้องทำใจนิดนึงเพราะอาจจะไม่ใช่วีนอมในแบบที่เราคิด 

บทหนัง การดำเนินเรื่อง
   จริงๆ ตัวบท ก็ทำให้เราเดาได้แล้วว่าจะจบแบบไหน บทไม่ได้หวือหวา ก็ตามสไตล์หนังฮีโร่(ตัวร้าย)ทั่วไป การดำเนินเรื่องก็ธรรมดา แต่สิ่งที่ช่วยดึงหนังก็คือ Tom Hardy ที่เล่นได้สุดมาก เข้าถึงบทบาท และฉากแอ็คชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ (แต่ส่วนตัวไม่ชอบมุมกล้องของหนังเลย)

คุณภาพของภาพและเสียง
   ตัวผมได้ดูในระบบ IMAX3D ก็จะบอกว่าธรรมดามาก ไม่ค่อยคุ้มค่าตั๋วสักเท่าไร ภาพ 3D ก็มีมิติแค่เล็กน้อย แถมมีฉากเบลอๆ ด้วย(แบบว่าหน้าตัวละครเบลอมาก) ดูแล้วหงุดหงิดพอสมควรครับ Sound ของหนังก็ไม่ได้อลังสมกับระบบเสียง IMAX ก็แนะนำว่าดูในโรงธรรมดาก็ได้

ด้านดี
   Tom Hardy คือที่สุดของหนังเรื่องนี้ถ้าไม่ได้พี่เค้าหนังแป๊กแน่นอนครับ และก็ฉากแอ๊คชั่นที่สนุกมาก แบบจัดเต็มมาก 

ด้านแย่
   ขอแยกเป็นข้อๆนะครับ
1. ตัวบทหนังที่อ่อนมากๆ แทบจะไม่ได้ตื่นเต้นกับการดำเนินเรื่องเลย 
2. มีภาพเบลอ มีช่วงนึงและนานมาก ที่หน้าคนเบลอ (อันนี้อาจจะเป็นที่โรง หรือหน้าจอนะ) แบบงงมาก เอ้าอะไรเนี่ย!!
3. ระบบเสียงของหนัง คือไม่ดีเลยครับ ธรรมดามากกับระบบ IMAX
4. ฉากแอ็คชั่นมันมากจริง แต่มุมกล้องสำหรับผมปวดหัวมาก มึนมาก ภาพตัดไปตัดมา จนบางทีเผลอหลับตา มันมึนครับ 

สรุป 
  ส่วนตัวผมเองก็ชอบครึ่งไม่ชอบครึ่งครับ ให้ดูอีกรอบก็ไม่ได้อยากดูแล้ว ถามว่ามันมั้ยก็มันครับ แต่ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำสักเท่าไร ตอนก่อนดูก็สงสัยว่าทำไมสาวๆ ชอบจัง พอได้ดูจริงก็เข้าใจ เพราะมีฉากให้จิ้นพอสมควรครับ 555 

Venom " เวน่อม "

112 min | Action/Sci-fi | Directed by Ruben Fleischer 

เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ?

ผลงานชิ้นล่าสุดจาก Sony ร่วมกับ Marvel ที่นำ 1 ในตัวละครชื่อดังตัวนึงจาก Marvel Comics อย่าง Venom ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของ เอ็ดดี้ บร็อค นักข่าวสายลุยที่ต้องการเปิดโปงโปรเจ็คอันไม่ชอบมาพากลของ Life Foundation ซึ่งการสืบเสาะของเขาในครั้งนี้ทำให้เขาถูกปรสิตหรือที่เรียกกันว่าซิมบิโอตเข้าครอบครองและยึดร่าง 

ความรู้สึกแรกหลังดูจบ.. 

ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ที่ด่าสาดเสียเทเสียมากมายจากหลายประเทศที่ได้ดูได้ชมหนังเรื่องนี้ไปก่อน อาจเป็นผลดีมากๆ ให้กับผู้ชมที่ไม่สนหรืออยากลองดี เพราะส่วนนึงก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เราลดความคาดหวังต่อหนังเรื่องนี้ไปเยอะมาก ทำให้พอถึงเวลามาดูเข้าจริงๆ แล้ว ทำให้รู้สึกว่าหนังมันไม่ได้แย่อย่างที่เขาว่ากัน อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ได้ถึงจุดที่เขาเอาไปเปรียบเทียบว่าอยู่ในเลเวลเดียวกับ Fantastic Four (2015) แน่ๆ แต่ก็ต้องบอกก่อนว่ามันก็เป็นหนังที่ยังมีปัญหา มีแผลให้เห็นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ก็ทดแทนด้วยความบันเทิงที่ดูเพลินๆ ได้อยู่

สิ่งที่น่าชื่นชม 

ที่ชอบที่สุดเลยใน เวน่อม เวอร์ชั่นนี้นั่นก็คือตัวละครเวน่อมเนี่ยแหละ ทั้งตัวซิมบีโอตเอง หรือ โฮสต์อย่าง เอ็ดดี้ บร็อค ที่ตัวหนังออกแบบคาแร็คเตอร์และความสัมพันธ์ของทั้งสองออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ตัวหนังดูสนุกและเพลินขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงยังดูตลกมากด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เองมันก็ดีงามพอที่จะแบกหนังทั้งเรื่องให้ไปรอดได้

สรุป

โดยรวมแล้ว อาจจะไม่ใช่หนังฮีโร่ที่สร้างความประทับใจมากมาย แต่ก็เป็นอีกงานนึงที่ถือว่าดีกว่าที่คาดเอาไว้เยอะ อาจจะมีแผลเหวอะหวะในส่วนของบทและตัวร้ายบ้าง แต่ตัวหนังเองก็ยังพอมีความสนุก และยังพอมีโครงสร้างบางส่วนไว้ต่อยอดเป็นจักรวาลเป็นเรื่องราวของตัวเองได้ สาวกมาร์เวล คอหนังฮีโร่ หรือแฟนแอนตี้ฮีโร่อย่างเวน่อม ยังไงก็ห้ามพลาดอยู่แล้ว 

[รีวิว] Venom
7.5/10
เปิดตัวได้ดี ไม่แย่อย่างที่คิด สนุกกว่าที่คาด
“ดำเนินเรื่องช่วงแรกยืดและน่าเบื่อไปหน่อย แต่พอได้มาป๊ะกับปรสิต หนังโคตรสนุก”

หนังที่โดนเหล่านักวิจารณ์จากต่างประเทศจวกซะยับ! สับซะเละ! ตั้งแต่การเปิดตัววันแรก โดยบางเจ้าถึงกับบอกว่า Catwomen และ Fantastic 4 (รีบูท) ยังดีซะกว่า เล่นเอาแฟนชาวไทยกล้าๆ กลัวๆ ที่จะไปดูเรื่องนี้กันเลยทีเดียว รวมถึงตัวเราเองด้วย แต่ในที่สุดก็มีโอกาสได้ไปดูรอบสื่อและต้องบอกเลยว่า “มันดีกว่าที่เราคิดเยอะมาก”

ไม่รู้แหละ “ใครไม่ชอบ เราชอบ!!!” สงสัยเหมือนกันว่าเหล่านักวิจารณ์ทำไมถึงให้แย่ขนาดนั้น ก็ใช่แหละที่มันอาจมีบางจุดที่ยังไม่โอเค ยังไม่ลงตัว แต่สำหรับเราที่เข้าไปกับความไม่ได้คาดหวังอะไรเลย มันก็ออกมาไม่ได้แย่เลยนะ มันสนุกกว่าที่คิดด้วยซ้ำ

Venom ในเรื่องนี้เลือกใช้ตัวละครตัวแรกที่เป็น Venom อย่าง Eddie Brock แต่อาจจะมีต้นกำเนิดแตกต่างจากหนังเวอร์ชั่นก่อนใน Spider-Man 3 หรือในฉบับคอมิกส์พอสมควร เพราะมันเป็นการปูจักรวาลใหม่ ในจักรวาลที่ Venom ยังไม่เคยเจอยังไม่รู้จักกับ Spider-Man เลย

คิดถูกแล้วหล่ะ ที่เลือกเอา Tom Hardy มาแสดง เราค่อนข้างชอบการแสดงของเขาเลยแหละ เราว่าเขาเล่นดีนะ ทั้งดูเกรี้ยวกราด เกรียน ตลก แต่แฝงไปด้วยความเท่ และยิ่งชอบการแสดงของเขามากขึ้นไปอีก ก็ตอนที่โดนปรสิต Symbiote ยึดร่างเนี่ยแหละ ให้ความรู้สึกเหมือนคนติดยา ขาดของยังไงยังงั้น 555 แต่ตัวละครอื่นๆ ก็ทรงๆ มาตรฐานไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก โดยเฉพาะบท Carlton Drake ที่รับบทโดย Riz Ahmed เฉยๆ มาก ไม่ได้ดูร้ายเลยแม้แต่น้อย

หนังปูเรื่องให้เราได้รู้ถึงการมาของปรสิตต่างดาว Symbiote ในช่วงแรกๆ รวมไปถึงให้เราได้รู้จักกับตัวละคร Eddie Brock ได้พอสมควร แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นแหละ มันกับปูเรื่องนานและยืดมาก น่าเบื่อพอสมควร เรียกได้ว่าถ้าเอาคำว่า Venom ออก คุณอาจจะสงสัยได้เลยว่าเข้าผิดโรงหรือเปล่า แต่พอพระเอกของเราได้มาป๊ะ! กับปรสิตต่างดาว Symbiote เท่านั้นแหละ (มาถึงตรงนี้ก็ปาไปเกือบครึ่งเรื่องได้มั้ง) ความบันเทิงจึงเกิดขึ้น

หนังจากที่เคยน่าเบื่อ พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้ หนังเพิ่มดีกรีความสนุก ความตลกมาเต็มขั้น แถมด้วยฉากแอ็คชั่นอยู่เรื่อยๆ ประโยคที่ Venom คุยกับ Eddie Brock ก็ช่างบันเทิงเสียเหลือเกิน เรียกได้ว่าพอผ่านช่วงแรกมาได้ ต่อจากนี้ไปโคตรเพลิดเพลินบรรเทิงเริงรมย์ชะมัด!

แต่ก็อย่างที่บอก หนังมันไม่ได้ถึงกับดีมากขนาดนั้น หนังยังมีสาเหตุที่ยังค้างคาใจอีกมากมาย อาจจะเปิดเผยหรือเฉลยอะไรหลายๆ อย่างในภาคต่อๆ ไป เพราะ Tom Hardy ก็เซ็นสัญญาไว้รับเล่นเป็น Venom ถึง 3 เรื่องเลยทีเดียว หนังฮีโร่มักมีตัวร้ายกระจอก เรื่องนี้ก็ไม่พ้น - - หนังมีฉาก Boss Fight ที่ไม่น่าจดจำและไม่สร้างสรรค์สักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ตัว Venom กับ Riot (ตัวร้าย) มีอะไรให้เล่นได้อีกเยอะเลย

สรุปว่า Venom ก็ถือเป็นหนังฮีโร่ที่สนุกเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ ไม่เสียดายที่จ่ายตังไปดูแน่นอน จริงๆ คำวิจารณ์ก็เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจแหละ แต่ถ้าจะให้ดีไปพิสูจน์ด้วยตัวเองในโรงดีกว่า แอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นหนังเรื่องนี้ในฉบับเรท R มันคงจะดุเดือดมากกว่านี้หลายเท่าตัว!

*หนังมี Post-Credit 2 ตัว ทั้งหลัง Mid Credit และ End Credit (คุ้มค่าแก่การรอชมแน่นอน)

Venom จากวายร้ายสู่แอนตี้-ฮีโร่

หลายคนลงจะเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้า Venom กันมาบ้างใน Spider-Man 3 เวอร์ชั่นของ โทบี้ แมคไกว์ กำกับโดยแซม ไรมี่ ซึ่งแฟนๆ หลายคนได้แต่บ่นถึงว่า เสียดายตัวละครนี้ในหนังเรื่องนั้นมาก ที่ทำออกมาได้ไม่ถึงใจ เหมือนเป็นแค่ตัวร้ายคั่นเวลาแค่นั้นเอง จวบจน Sony Picture ได้นำกลับมาปัดฝุ่นและอัพเกรดใหม่ โดยสร้างเป็นภาพยนตร์แยกให้เลย แฟนๆหลายคนก็ดีใจกันยกใหญ่ แต่ไม่วายก็ต้องปวดหัวเหมื่อตัวหนังถูกปรับเรทความแรงลง จากเรท R เป็น PG-13 เพื่อฉายวงกว้าง ซึ่งข่าวออกมาล่าสุดตัวหนังเองโดนตัดฉากออกไปมากถึง 40 นาที แฟนๆก็ได้แต่มองบนในการกระทำเช่นนี้ ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ไม่ค่อยซีเรียสอะไร เพียงแต่ถ้าการตัดหนัง หั่นหนังนั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อเส้นเรื่องหลัก หรือประเด็นหลัก ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ในหนังก็ได้

เนื้อเรื่องเองก็ว่าด้วย มูลนิธิ ไลฟ์ ฟาวเดชั่น ได้มีการส่งยานอวกาศออกไปสำรวจนอกโลก และได้ทำภาระกิจเก็บตัวอย่างกลับมาแต่เกิดเหตุยานตกลงซะก่อน ทำให้ตัวอย่างภายในยานได้หลุดรอดออกไปได้ ในขณะนั้น เอ็ดดี้ บร็อค ก็ได้กำลังสืบสาว เบื้องหลังการทดลองผิดกฏหมายขององค์กรณี้พอดีจนกระทั่งได้ถูก สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเข้าสิงร่าง และกลายเป็นแอนตี้-ฮีโร่จำเป็น ที่ต้องออกปกป้องชีวิตตัวเองและโลกใบนี้

หลังจากได้ดูจบก็สามารถบอกได้เลยว่า ตัวเรื่องเองช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเต็มไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย การเล่าเรื่องแบบหนังยุด 90 ปลายๆ ถึงยุคต้นปี 2000 มันออกจะเชยและน่าเบื่อไปหน่อย แต่พอเครื่องติดเท่านั้นแหละครับ ก็เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆจนจบเรื่องเลย ซึ่งจุดนี้เองทำให้หลายเสียงจากเมืองนอกที่ให้คะแนน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัวหนังนั้นมีความเชยเอามากๆ ถ้าได้ฉายเร็วกว่านี้คงจะดี เพราะในยุคนี้มีหนังฮีโร่ให้เอามาเปรียบเทียบมากมายไปหมด 

สรุปแล้วนั้น ตัวหนังเองถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเลิศอะไร แต่ก็ไม่ได้แย่ หรือเลวร้ายจนถึงขั้นที่เสียดายค่าตั๋วแต่อย่างใด มันมีทั้งความสนุก และเฉยๆปะปนกันไปตลอดทั้งเรื่อง (แต่ครึ่งชั่วโมงแรกออกจะน่าเบื่อไปซะหน่อย) และขอยอมรับในความกล้าและบ้าของตัวบทในช่วงท้ายที่ทำให้หนังสนุกเหมือนคนละม้วนเลยก็ว่าได้ แถมยังทำให้เราเห็นใจเจ้า เวน่อม ปรสิตที่ถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้ร้ายจนรักไม่ลงครับ ผมให้ 7.5/10 ไปเลยสำหรับเรื่องนี้