หนัง The Wife หรือชื่อไทยว่า เมียโลกไม่จำ ทุกความสำเร็จของยอดบุรุษ ย่อมมียอดสตรีอยู่เบื้องหลังเสมอ โจอัน แคสเซิลแมน (เกล็นน์ โคลส) เป็นภรรยาของยอดนักเขียน ศาสตราจารย์โจเซฟ แคสเซิลแมน (โจนาธาน ไพรซ์) ทั้งคู่ดูเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ คนหนึ่งคือยอดนักเขียน อีกคนคือยอดนักสนับสนุนสามี คอยเป็นแรงผลักดันให้คนรักประสบความสำเร็จ แม้ว่าตัวเองต้องเธอยอมละทิ้งความสามารถ ความฝัน และความทะเยอทะยานในการเป็นนักเขียนของตัวเองเพื่อช่วยผลักดันสามีให้ไปถึงจุดสุดยอดของอาชีพก็ตาม หากทว่าเมื่อเธอและสามีเดินทางไปรับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมที่สต็อกโฮล์ม เมื่อนั้นเอง ความลับ ความขมขื่นที่ซุกซ่อนอยู่ในชีวิตคู่ก็ปรากฏออกมามา ในขณะเดียวกันฝั่งของนักข่าว (คริสเตียน สเลเตอร์) ยังสงสัยอีกว่า ผลงานที่ทำให้ โจเซฟ ได้รางวัลมาครองนั้น ตัวภรรยาอาจมีส่วนมากกว่าที่ใครๆ คาดคิด
A wife questions her life choices as she travels to Stockholm with her husband, where he is slated to receive the Nobel Prize for Literature.
ผู้ชมทั้งหมด
7,240 ครั้ง
|
เข้าฉาย
20 ธันวาคม 2561
|
ออกโรงแล้ว |
18 ธันวาคม 2561 16:28:35 (IP 119.46.186.xxx)
|
||
[รีวิว] - The Wife - เมียโลกไม่จำ ทุกๆ ช่วงปลายปี จะมีหนังที่มักถูกเรียกว่า “หนังออสการ์” หรือในอีกแง่นึงคือ หนังทำมาเพื่อให้ตัวเองเข้าชิงออสการ์นั่นแหละ อย่างปีที่แล้วก็จะมี The Post เป็นต้น และในปลายปีนี้ก็มี The Wife นี่แหละ และที่จะตามมาก็คงเป็น Green Book เป็นแน่แท้ และแน่นอนว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ The Wife เป็นหนังที่สร้างจากนิยาย ที่ตัวอย่างบอกเรื่องราวของมันเอาไว้หมดแล้วหล่ะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้หนังเสียอรรถรสแต่อย่างใด แต่มันกลับทำให้อยากรู้เรื่องราวมากกว่าเก่าเสียอีก โดยหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคู่รักที่ดู(เหมือนจะ)สมบูรณ์แบบของภรรยาผู้ภักดี Joan (Glenn Close) และ Joe Castleman (Jonathan Pryce) สามีผู้ได้รางวัลเป็นเกียรติสูงสุดของนักเขียนคนหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า เบื้องหลังของความสำเร็จของผู้เป็นสามีนั้น คือปมในใจของภรรยาที่มีส่วนในงานเขียนหลายอย่างมากกว่าที่หลายคนคิด เหมือนดั่งคำโปรยหนังที่ว่า “ทุกความสำเร็จของยอดบุรุษ ย่อมมียอดสตรีอยู่เบื้องหลังเสมอ” นี่คือหนังที่พูดถึงประเด็นในเรื่องสิทธิสตรี และสังคมในยุคที่ชายเป็นใหญ่ได้อย่างดีในหลายๆ ฉากของหนังที่สะท้อนให้เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนตลอดทั้งเรื่อง หนังเปิดเรื่องได้อย่างเรียบง่ายและธรรมดา กับฉากร่วมรักของผัวเมียคู่นี้(ไม่โป๊นะ) แต่เมื่อเราได้ดูไปเรื่อยๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคู่รักนี้ เราจะรู้เลยว่าหนังไม่ได้ทำฉากนั้นมาขำๆ เพราะมันถูก Set up แฝงนัยยะอัดอั้นตันใจ อึดอัด ทนทุกข์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้หนังจะดัดแปลงมาจากนิยาย แต่ก็ยังไม่ทิ้งรายละเอียดเรื่องจริงที่สำคัญของหญิงที่ถูกสังคมเมินเฉย ณ ตอนนั้น หนังมีการเล่าที่น่าสนใจกับฉากการย้อนอดีตตัดสลับเหตุการณ์ปัจจุบันค่อยๆ เปิดเผยความลับบางอย่าง และในเหตุการณ์ย้อนอดีตก็มีจุดอิมแพคที่สร้างความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของตัวเอกแบบสุดๆ กับบางบทสนทนาของนักเขียนหญิงอีกคนที่บอกกับนางเอกในฉากนั้น เป็นกิมมิคเล็กๆ ที่เราชอบมาก และนอกเหนือจากการเล่าถึงประเด็นสังคมชายเป็นใหญ่แล้ว หนังยังเล่าถึงประเด็นครอบครัวอีกด้วย กับเรื่องราวของลูกชายของตระกูล Castleman ที่ต้องบอกว่าฉากอารมณ์เขาเล่นได้ถึงสุดๆ ประเด็นที่น่าเจ็บปวดที่สุด ก็คือประเด็นของผู้เป็นภรรยาเนี่ยแหละ กับหน้าที่ "ส่งกษัตริย์ขึ้นบัลลังก์" แค่ได้ยินประโยคนี้ในตัวอย่างก็ขนลุกแล้ว ยิ่งเป็นฉากในเรื่องยิ่งขนลุกเข้าไปใหญ่ ตลอดทั้งเรื่องเราจึงได้เห็นผู้ที่แบกรับความกดดัน ทิ้งความฝัน และความเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ได้เป็นอย่างดี และนั่นก็คือสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือฝีมือการแสดงของ Glenn Close เมียโลกลืมผู้นี้ นอกจากบทหนังจะส่งให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดของเธอแล้ว การแสดงของเธอยังน่าตราตรึงใจมากๆ อีกต่างหาก กับซีนอารมณ์ต่างๆ ที่ต้องบอกเลยว่า เธอต้องได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแน่ๆ (ได้ไม่ได้นั่นอีกเรื่องนึง 555) อีกหนึ่งตัวละครที่เหมือนเป็นตัวประกอบ แต่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ Nathaniel Bone ที่รับบทโดย Christian Slater นักเขียนผู้อยากมาเขียนชีวประวัติของ Joe Castleman ด้วยมาดกวนๆ เท่ๆ ของเขา ทำให้หนังดูตลกและมีมิติมากขึ้น แถมตัวละครนี้ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเรื่องราวอีกด้วย แต่ผู้ที่เล่นบท Joe Castleman อย่าง Jonathan Pryce กลับดูธรรมดาและไม่ได้โดดเด่นอะไรสักเท่าไหร่ อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นคือมุมกล้องและภาพ ที่ช่วยส่งเสริมเรื่องราวเหล่านั้นให้ดูมีพลังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพจะมุมกว้าง และเริ่มเข้าแคบในช่วงหลังๆ อีกทั้งการถ่ายให้เห็นภรรยาของเรื่องตัวคนเดียวบ่อยๆ กับสามีท่ามกลางผู้คน ยิ่งสื่อความหมายได้ดีมากๆ ยิ่งฉากตอนท้ายนี่อย่างพีค บวกกับภาพโทนเย็นๆ ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกถึงความตรึงเครียดของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็มีจุดติอยู่เล็กน้อย กับเรื่องการเล่าเรื่องที่ในบางครั้งรู้สึกว่าเล่าได้เนือย และช้าไป ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ บวกกับความรู้สึกที่ว่าหนังยังจบเร็ว ง่าย ไม่ได้ลงรายละเอียดบางอย่างเท่าที่ควร และที่สำคัญซีนดราม่าที่น่าจะบีบคั้นอารมณ์ได้มากกว่านี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องในช่วงปลายปีที่ควรจ่ายเงินเข้าไปดูในโรงแบบสุดๆ ไปเลย สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ