หนัง Blindspotting คอลลิน (ดาวีด ดิกส์) ต้องผ่านช่วงทัณฑ์บนสามวันสุดท้ายให้ได้ก่อนที่จะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาและเพื่อนซี้จอมแสบอย่าง ไมลส์ (ราฟาเอล คาซาล) ทำงานเป็นพนักงานรับจ้างเคลื่อนย้าย ที่ได้แต่เฝ้ามองย่านที่พวกเขาโตมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้คอลลินต้องละเมิดทัณฑ์บน ทั้งสองหนุ่มต้องรักษามิตรภาพของกันละกันเอาไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้ทั้งคู่เห็นความแตกต่างของกันและกันมากขึ้น เพื่อนซี้ในชีวิตจริงอย่าง ดาวีด ดิกส์ และ ราฟาเอล คาซาล ร่วมเขียนและนำแสดงในเรื่องราวที่เกี่ยวกับมิตรภาพและความแตกต่างทางสีผิวและชนชั้น โดยมีฉากหลังเป็นเมืองโอ๊กแลนด์ มันอัดแน่นไปด้วยสไตล์ อารมณ์ขัน และเนื้อเรื่องอันทรงพลัง
Lifelong friends Daveed Diggs and Rafael Casal co-wrote and star in this timely and wildly entertaining story about the intersection of race and class, set against the backdrop of a rapidly gentrifying Oakland.
ผู้ชมทั้งหมด
7,635 ครั้ง
|
เข้าฉาย
18 ตุลาคม 2561
|
ออกโรงแล้ว |
19 ตุลาคม 2561 14:53:05 (IP 119.46.186.xxx)
|
||
[รีวิว] Blindspotting - ที่นี่...ประเทศไหน หนังเล่าเรื่องของสองเพื่อนรัก คู่ซี้ อย่างหนุ่มผิวสีคอลลิน และหนุ่มผิวขาวสุดแสบ ไมลส์ โดยคอลลินเพิ่งพ้นโทษมาและจำต้องผ่านทัณฑ์บนสามวันสุดท้ายให้ได้ แต่เรื่องมันกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อคอลลินดันไปเห็นเหตุการณ์ตำรวจวิสามัญหนุ่มผิวสีกลางถนนในเวลากลางคืน ทำให้เหตุการณ์นั้นติดอยู่ในหัวเขาอย่างไม่ลืมเลือน เท่านั้นไม่พอ เขายังต้องเผชิญปัญหากับเพื่อนรักของเขาอีก ทั้ง ดาวีด ดิกส์ และ ราฟาเอล คาซาล นอกจากจะแสดงนำร่วมกันแล้ว ทั้งคู่ยังเขียนบทเองอีกด้วย หนังเต็มไปด้วยประเด็นตึงเครียด ชวนดราม่า เกี่ยวกับประเด็นเรื่องผิวสี แถมยังเสียดสีประเด็นสังคม แต่ก็มีการเจือปนด้วยมุกตลกเพื่อไม่ให้หนังมันตึงเครียดจนเกินไป จริงอยู่ที่ประเด็นนี้ถูกถ่ายทอดออกมาหลายครั้งด้วยกันกับหนังเรื่องอื่นๆ แต่เรื่องนี้กลับพาเราให้เห็นอีกมุมมองหนึ่ง ในอีกแง่มุมหนึ่ง เหมือนดั่งชื่อหนัง Blindspotting จุดบอด ที่เราอาจไม่เคยเห็นหรือไม่ได้มองมันจากประเด็นเหล่านั้น ชอบการที่หนังเล่าเรื่องผ่านสองตัวละครผ่านเทคนิคการถ่ายทำที่จัดจ้าน หลากหลาย ทำให้มันดูไหลลื่นและสนุก หลายๆ ฉากชวนให้เรานึกถึงสไตล์ของผู้กำกับชื่อดังหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น Quick Cut คัทชนคัทแบบ Edgar Wright, การเล่าเรื่องแบบ Luis ใน Ant-Man หรือแบบ Guy Ritchie ซึ่งพอจับมารวมๆ กันมันทำให้หนังมันเจ๋งไปเลย และยิ่งชอบเข้าไปอีกการแสดงของทั้งคู่นับว่าเป็นธรรมชาติโคตรๆ เนื่องด้วยในชีวิตจริงทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนซี้กันอยู่แล้ว แถมเรื่องราวก็ถูกเขียนและถ่ายทอดมาจากชีวิตจริงของตัวเองอีกด้วย เลยทำให้หนังมันไหลไปได้ด้วยดี อีกทั้งบทสนทนาหลายๆ ครั้งก็เป็นการแร็ปใส่กัน ซึ่งทั้งคู่ก็แร็ปออกมาได้ดีไม่แพ้การแสดงเลย และเนื้อหาในการแร็ปนั้นช่างหนักหน่วง และสะท้อนประเด็นของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี หนังตั้งประเด็นชวนให้เราตั้งคำถามและรับรู้ในหลายๆ แง่ ทั้งมิตรภาพ ตัวตน ความอคติ จุดยืน คนต่างถิ่น ดราม่าเรื่องผิวสี ผ่านทางภาพลวงตาในทางจิตวิทยาที่ถูกเรียกว่า Blindspotting (จุดบอด) ซึ่งหลายๆ คนอาจเคยเห็นภาพนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นรูปแจกัน ที่บางคนก็มองเป็นคนหันหน้าเข้าหากัน ตลอดทั้งเรื่องหนังพยายามอธิบายถึงจุดบอดนี้ และสื่อให้เราได้เห็นมันทั้งสองด้าน เราจะได้เข้าใจความรู้สึก นึกคิด ความไม่ปลอดภัย และความระแวงของหลายตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นคอลลิน พระเอกหนุ่มผิวสี ที่เค้าต้องตกเป็นจำเลยสังคม เพราะคนมักมองว่าคนผิวดำเป็นพวงแก๊งสเตอร์หัวรุนแรง นักเลง ทำอะไรไม่ดี เวลามีปัญหาคนผิวดำก็มักจะโดนตราหน้าว่าผิดอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับคนผิวขาวอย่าง ไมลส์ ก็ต้องพยายามทำตัวกร่าง ซ่าให้เป็นที่ยอมรับในสังคมผิวดำ เพื่อจะได้ไม่ให้ใครมาข่ม และก็ตำรวจผิวขาวที่วิสามัญชายผิวดำ ซึ่งเขาก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงในสังคมผิวดำเช่นกัน แต่ละฝ่ายแต่ละคนต่างมีจุดบอดของตัวเองกันทั้งนั้น จนมันสะท้อนออกมากลายเป็นปัญหาอย่างที่เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ สรุป เป็นหนังที่ไม่ใช่แนวตลาดแต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น แต่หนังทำให้เราเข้าใจประเด็นสังคมในอเมริกาเรื่องระหว่างผิวสีได้อย่างดีเลยทีเดียว ฉากแร็ปรัวของพระเอกท้ายเรื่องเจ๋งมาก! แนะนำให้ดูอย่างยิ่ง! หนังดีๆ แบบนี้ไม่ควรพลาด สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
9
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ