รีวิวหนัง Glass - คนเหนือมนุษย์

Glass | M. Night Shyamalan

หนังไตรภาคของ M.night Shamaran ที่ใช้เวลาเดินทางนานถึง 19 ปีจากจุดกำเนิดกำกับหนังเรื่องแรก Unbreakable หนังฮีโร่แนวจิตวิทยาสมจริง และSplit หนังฆาตรที่มีสัญญะแบบปีศาจภายใต้โรคจิตเภทหลายบุคลิก ซึ่งคงเอกลักษณ์ความเป็นเอมไนท์ไว้เต็มคราบ ทั้งองค์ประกอบภาพที่ผิดแปลก เต็มไปด้วยการปิดบัง ภาพที่บิดเบี้ยว การตัดต่อที่เนิบช้ากดดัน และการเล่าเรื่องที่ไม่หวือหวา โดยหันไปให้ความสำคัญกับความนิ่งเฉยในตัวละครต่างๆ ความคิดที่ปะเดปะดังเข้ามาในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับ Easter Egg ประจำตัวของซีรีย์ที่ทำให้แฟนๆรู้สึกคุ้นเคย

หนังเรื่อง Glass ว่าด้วยเรื่องของการบรรจบของสองเส้นเรื่องระหว่าง Unbreakable ฮีโร่ประจำเมืองฉายา Overseer หรือผู้คุมกฏ ที่ออกเตร่ช่วยเหลือผู้คนใต้ผ้าคลุมฝนกับความมืดมิด และ Split คนหลายบุคคลิกที่มีตัวอันตรายระดับสูง เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีพลังทำลายมากกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก ที่ทั้งหมดจะลงเอยที่สถาณจิตเวชเรเวน ภายใต้การนำทีมของจิตแพทย์เอลี่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าพวกเขาทั้งสอง และรวมไปถึง Mr.Glass ตัวร้ายภาคแรกนั้นสำคัญตนผิดคิดว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ โดยพยายามล้มทฤษฏีของ Mr.Glass ที่อธิบายเกี่ยวความน่าจะเป็นของการ์ตูน และใช้เหตุผลที่เป็นไปได้ชักจูงให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดา

แต่ Mr.Glass เป็นอัจฉริยะ เขาเป็น Master Mind นักวางแผนการที่สุดยอด และนั่นจึงนำไปสู่ตอนจบที่หักมุมต่อเนื่องจนจบได้สมบูรณ์แบบสุดๆ

หนังสนุกระดับหนึ่ง มีกลิ่นอายของเอ็มไนท์มากมายให้คิดถึง ไม่ว่าจะมุมกล้องที่ผิดแปลกจากองค์ประกอบภาพทั่วไป การนำเสนอเนื้อเรื่องแบบดั้งเดิมผ่านการเล่าแบบเก่าๆ ซึ่งก็ทรงพลังในแบบของมัน หนังอาจช้าไปบ้าง ฉากแอคชั่นน้อยไม่หวือหวา แต่ความจริงจังของมันที่เน้นไปที่ความสมจริงและด้านจิตใจ ทำให้นึกถึงหนังเรื่องเก่าๆ ของเอ็มไนท์ ค่อยๆ ประคับประคองคนดูให้ไปถึงตอนจบที่ประเคนข้อมูลที่เราพลาดกลับมา และทำให้เรารู้สึกว่า อ้อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง (สำหรับคนทั่วไปๆอาจรู้สึกช้าไปหน่อยจริงๆ)

ซึ่งเอ็มไนท์ชื่นชอบการเล่าหนังหักมุมมากๆ และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เต็มไปด้วยสัญญะ ไว้ใจให้คนดูตีความต่อเรื่องกันเอาเอง โดยเฉพาะตอนจบของเรื่องที่ทำออกมาได้สมบูรณ์ในแบบของมัน

“ถ้าคุณเปิดใจรับพรสวรรค์ คุณจะเป็นอะไรก็ได้” ในความเป็นจริงบรรทัดนี้แอบซ่อนเอาไว้ในตัวละครทุกตัวของ Glass สัญญะของการ Balance และ Broken นั้นน่าสนใจ ทุกคนต้องการเป็นคนพิเศษ ตามหาความหมายว่าตัวเองเกิดมาทำไม แต่การกลายเป็นคนธรรมดาเพื่อความยุติธรรมนั้น มันออกจะโหดร้ายกับความเป็นมนุษย์ในตัวเรา โดยหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนความเป็น Defence Mechanism ของมนุษย์จาก Balance ออกได้อย่างจับต้องได้มากๆ สมกับเป็นหนังที่มีโครงสร้างจากจิตใจของมนุษย์จริงๆ

Glass ไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่าๆ มาก็สนุกได้ การที่หนังมีแก่นเรื่องที่แข็งแกร่ง การแสดงระดับเทพ ตัวละครที่มีเสน่ห์ และตอนจบที่บริบูรณ์ด้วยการหักมุม ทำให้ Glass กับเอ็มไนท์มีความแตกต่างกับหนังทั่วไปมากๆ สำหรับคนที่ชื่นชอบหนังหักมุม คาดเดาเรื่องได้ยาก มีกลิ่นอายแปลกๆ หนังเรื่องนี้เหมาะกับคุณแน่นอน

[รีวิว] - Glass - คนเหนือมนุษย์
--- 7.5/10 ---
ถ้าในชีวิตจริงมีฮีโร่ ก็คงเป็นแบบนี้แหละ
“ถ้าคุณชอบ Unbreakable และ Split คุณจะชอบเรื่องนี้”

ไม่เคยคิดเลยว่าหนังเรื่อง Unbreakable จะถูกนำมาทำเป็นไตรภาคได้ และตอนแรกที่ได้ดูเรื่อง Split ก็ไม่รู้เลยว่ามันคือภาคต่อจนกระทั่งตอนจบของหนังนั่นแหละถึงได้รู้ และแน่นอนว่าการเดินทางเกือบ 20 ปี Glass สามารถเป็นไตรภาคปิดเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างสวยงาม

ในไตรภาคนี้ เรื่องที่ชอบที่สุดคือ Split ส่วน Unbreakable คือตัวเปิดเรื่องราวที่สำคัญของไตรภาคและมีฉากหลายฉากที่ส่งผลต่อหนังทั้งไตรภาค ไม่ว่าจะฉากเปิดเหตุการณ์รถไฟระเบิด ฉากยกน้ำหนัก ฉากดราม่าลูกจะยิงพ่อ เพราะฉะนั้น ทั้ง Unbreakable และ Split มันจึงสำคัญ ที่ควรจะดูก่อนไปดูเรื่อง Glass เพราะมันจะทำให้คุณเข้าใจ รู้จักตัวละครมากขึ้น เข้าใจในหลายๆ ฉาก และส่งผลต่อเรื่องนี้อย่างมาก

การเล่าเรื่องของ Glass จะไม่ต่างจากสองภาคแรกทั้งไหร่ มันจะค่อยๆ เล่า เนิบๆ เต็มไปด้วยบทพูด ที่หลอกล่อคนดู งงๆ เล็กน้อย และยังแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์การเล่าเรื่องของ M. Night Shyamalan ได้อย่างชัดเจน

นี่คือหนังฮีโร่ที่ดาร์คพอสมควร มันไม่ใช่อย่างสไปเดอร์แมน แบทแมน หรือซูเปอร์แมน หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นถล่มเมือง ซัดกันตู้มต้าม เหมือนที่หนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ เป็น แต่หนังเรื่องนี้มันจะสะท้อนให้เราเห็นเลยว่า “ถ้าโลกนี้มีฮีโร่เกิดขึ้นมาจริงๆ มันจะเป็นยังไง” ทั้งหมดนั่นจึงทำให้ Glass ทำหน้าที่เป็นตัวขยายเรื่องราวของ Unbreakable และ Split พร้อมกับเชื่อมเรื่องราวให้จบได้อย่างลงตัว

สิ่งที่โดดเด่นมากๆ เราต้องยกให้การแสดงของ James McAvoy ในบทบาทคนหลายบุคคลิก ในเรื่องนี้มันยิ่งชัดเจนเลยว่า เขาเป็นนักแสดงยอดฝีมือจริงๆ อย่างที่เราเคยเห็นเขาแสดงเป็นคนหลายบุคลิก ให้เราเชื่อได้เลยว่าเขาคือคนละคนกันใน Split ในเรื่องนี้เขาก็ยกระดับมันขึ้นมาให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาแสดงได้เด่นมากจนกลบการแสดงของคนอื่นไปเลย โดยเฉพาะตัวละครที่น่าจะเป็นตัวชูโรงและโดดเด่นไม่แพ้กันอย่าง Bruce Willis ในบทบาท David Dunn ที่ไม่ค่อยได้วาดลวดลายอะไรสักเท่าไหร่ นั่นหมายรวมไปถึง Samuel L. Jackson ที่ก็เล่นได้อย่างมาตรฐาน คงเส้นคงวาเหมือนเดิม

ส่วนทางด้านนักแสดงสมทบ ลูกของ David Dunn เขายังคงใช้นักแสดงคนเดิมจากภาคแรกเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วอย่าง Spencer Treat Clark รวมถึงมีการกลับมาแสดงของสาวสวยสุดน่ารัก อย่างน้อง Anya Taylor-Joy จริงๆ แล้วทั้งสองอาจไม่ได้แสดงอะไรมากมาย แต่มันทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบมากขึ้น

Glass เป็นหนังฮีโร่ในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจ และแปลกใหม่พอสมควร ใครที่ชอบสองภาคแรกก็จะชอบเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

Glass " คนเหนือมนุษย์ "

129 min | Drama/Sci-fi | Directed by M. Night Shyamalan 

เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ?

ภาคต่อจากหนังฮีโร่จิตๆ อย่าง Unbreakable และ Split สู่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดใน Glass เมื่อ เดวิด ดันน์ หลังจากค้นพบพลังของตัวเองเมื่อ 19 ปีก่อน เขาก็ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้คนในเงามืดมาตลอด และได้แกะรอยคนร้ายที่มักจะลักพาตัวเด็กสาวไป จนกระทั่งได้เจอกับ คนที่มี 24 บุคลิก ในที่สุดการเจอกันของคนที่เหนือมนุษย์ก็เริ่มต้นขึ้น 

ความรู้สึกแรกหลังดูจบ.. 

หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการขยายไอเดียตั้งต้นที่น่าสนใจให้ดูยิ่งใหญ่และไปต่อได้ ซึ่งผมค่อนข้างชอบมากตั้งแต่แรกแล้ว กับการตีความ ความคลั่งไคล้ที่มีต่อหนังสือการ์ตูน ฮีโร่ ออกมาในแบบที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งใน Glass ก็ยิ่งทำให้มันชัดเจนขึ้นในจุดยืนและความคิดของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังมันมีความเฉพาะกลุ่มอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าชื่นชม

นอกจากคอนเซ็ปต์แล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของหนังคงเป็นเรื่องราวของบทสรุปที่เป็นเหมือนการกึ่งยิงกึ่งผ่าน ว่าจะจบในตัวมันก็ได้ ให้ผู้ชมไปคิดถึงและแต่งเติมเรื่องราวต่อกันเอง หรือจะเป็นการเปิดประเด็นไปสู่หนังใหม่ๆในจักรวาลของเอ็มไนท์อย่างเต็มตัว แต่การหาทางลงให้กับตัวละครเก่าๆ ก็ถือว่าทำได้ดีและน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของหนังแล้ว

สรุป 

โดยรวมแล้วต้องบอกก่อนว่าหากคุณเคยดู หนัง 2 ภาคก่อนหน้านี้มาแล้วก็คงไม่พลาดกันอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่ถ้าเคยดู Unbreakable แล้วไม่ได้ชอบโทนหนังแบบนี้อาจจะผ่านได้อยู่ แต่ถ้าชอบหนังเรื่องนี้คือหนังที่ไม่ควรพลาดเลย ตัวหนังอาจจะมีช่วงที่เล่าเรื่อง ปูเรื่องเนือยๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วหนังก็ถือว่าสรุปได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว