PK (Rajkumar Hirani / India / 2014)
เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่สนุกสุดขีดที่สุดในชีวิต เราไม่ได้ชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียหมดแต่ด้วยความที่เราไม่ได้ดูหนังอินเดียบ่อยๆ ทุกอย่างที่ดูคลิเชเก้กังมันก็เลยได้ผลและกลายเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไปเลย นอกจากความเป็นหนังรักโรแมนติกและความตลกเฮฮาที่แข็งแรงไหลลื่นอยู่แล้วส่วนนี้มันยังซัพพอร์ตประเด็นที่กอดรัดกับพล็อต ตัวละคร และ Execution สถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและแม่นยำตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งสำคัญคือต้องพกความเฉลียวฉลาดเอาตัวรอดไว้คอยระวังตัว พอเล่าประเด็นที่ถือว่าซีเรียสอ่อนไหวในสังคมประเทศอินเดียของคนทำเองก็ต้องอาศัยเรื่องราวรักโรแมนติกคอเมดี้ที่ผ่อนคลายและสนุกสนานเพื่อประนีประนอมการแสดงออกทางความคิดที่ขัดต่อความเชื่อทางศาสนาและอำนาจการครอบงำแนวคิดดั้งเดิม ละลายท่าทีแข็งข้อให้กลายเป็นการเจรจาด้วยภาษาพาทีและความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ของตัวละครเข้าตะล่อมอย่างได้ผลจนสามารถยิงตรงเป้าเข้าประเด็นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉลาดมากๆ ในการผูกปมคำถามต้นเรื่องและแก้มัดคลี่คลายปัญหาหาทางทอดพรมแดงปูทางลงเดินได้อย่างเก่งกาจ ห่างไกลจากการม้วนเสื่อจบง่ายๆ อย่างที่เคยเห็นในหนังกระแสหลักที่เล่นประเด็นอ่อนไหวแล้วมักจะรอมชอมออมแอบทัศนคติที่หนักหน่วงต่อสังคมเอาไว้ทำให้แสดงออกมาได้แค่ผิวเผินหรือต้องนั่งขบคิดจนสมองเต่งถึงจะได้มาซึ่งสาส์นคำตอบ หนังเรื่องนี้มีทั้งการอธิบายและสาธิตให้เข้าใจและเข้าถึงด้วยการใช้ความรักความสัมพันธ์ของตัวละครที่คนดูพร้อมจะเอาใจช่วย ขนาดที่ทำให้คนดูที่มีความเชื่อในศาสนาและพระเจ้าอย่างเคร่งครัดเคลิ้มคล้อยลอยตามข้อมูลที่สามารถปลดล็อกแนวคิดความเชื่อและศาสนาเดิมเพิ่มช่องว่างให้มุมมองใหม่ที่ไม่เคยยอมรับได้ในแบบย่อยง่ายสบายสมองสุดๆ แถมเส้นเรื่องความสัมพันธ์ความรักโรแมนติกที่ระคนความดราม่าอยู่นิดๆ ก็เรียกน้ำตาและรอยยิ้มจากความเห็นใจและซาบซึ้งใจได้ดี
การเรียนรู้ของพระเอกมนุษย์ต่างดาวในเรื่องสะท้อนการเติบโตของคนเราได้อย่างแนบเนียน ถึงรูปร่างหน้าตาแทบจะเหมือนกันแต่บนโลกมนุษย์ก็ไม่เหมือนดาวของเขาซึ่งที่นั่นผู้คนไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่มีภาษา ไม่มีชื่อ สื่อสารกันด้วยการอ่านความคิด แล้วพอมาอยู่บนโลกมนุษย์เขาก็ไม่ต่างจากเด็กกำพร้าแรกเกิดที่ไม่มีพ่อแม่คอยเลี้ยงดู บอกสอนป้อนข้าวป้อนเงิน ชี้นำปลูกฝังความเชื่อ ทัศนคติและอุดมการณ์ในการดำรงชีวิต วิทยุทรานซิสเตอร์ที่บังเอิญได้มาแทนสร้อยจี้รีโมทเรียกยานกลับดาวจึงเปรียบเป็นเหมือนพ่อแม่และเพื่อนคนแรก Culture Shock ที่พบเจอทำให้มนุษย์ต่างดาวต้องเรียนรู้อะไรใหม่ทุกอย่าง ตั้งคำถามและสงสัยไปเสียทุกสิ่งอันเหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ที่เอะอะก็ถามพ่อถามแม่ถามผู้ใหญ่ว่าวัวคืออะไร นกคืออะไร คนใส่แว่นในรูปนั้นกับคนหนวดจิ๋มในรูปนี้คือใคร ต้องยอมรับชื่อตัวเองตามคนเรียก นับถือความเชื่อตามครอบครัวทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ้งเหล่านั้นมันหมายความว่าอะไร ชื่อเต็มจริงๆ ของนางเอกที่เจ้าตัวคิดว่ามันน่าหัวเราะก็เลยต้องย่อเองเป็น จักกุ (ซึ่งเราเข้าใจว่าชื่อพ่อตั้งมันสะท้อนความศรัทธาของพ่อที่นางเอกไม่ใฝ่ตาม) ซึ่งมีฟังก์ชั่นของมัน เช่นกันกับชื่อ ทิปซี่(PK)(ในหนังแปลว่า “เมา”) ของพระเอกมนุษย์ต่างดาวที่ได้มาจากคนบนโลกเรียกชื่อ นอกจากมันจะทำให้เห็นถึงความไม่รู้เรื่องของมนุษย์ต่างดาวผู้มาเยือนแล้ว ขณะเดียวกันก็แว้งกัดความลุ่มหลงของสังคม คำถามที่คนย้อนถามพระเอกมนุษย์ต่างดาวว่าเมาหรือเปล่า? ถึงเงอะงะไม่รู้จักกฎระเบียบหรือวิถีความเชื่อ ก็เลยใช้ได้ในการย้อนถามอีกนัยหนึ่งว่าใครเมากันแน่? ระหว่างพระเอกมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์โลกพวกนี้ที่หากินกับความศรัทธา
เป็นหนังมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ได้พูดถึงวิทยาศาสตร์แม้แต่หน่อยเดียวทั้งที่สร้อยจี้รีโมทอันนั้นมันมีเสียงสัญญาณปิ๊บๆ และวูบวาบชวนให้คนสงสัยมากๆ ซึ่งถ้าไม่นับว่าเป็นช่องโหว่มันก็สะท้อนพื้นฐานความคิดความรู้สึกของคนเราที่ศรัทธาในความเชื่อจนไม่ลืมหูลืมตาที่จะตั้งคำถาม หลายๆ ฉากมี Dilemma ที่ผลักดัน Subtext ให้พวยพุ่งออกมาได้ทรงพลังมหาศาล ทั้งเชิงความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร อย่างเช่น ฉากไคลแม็กซ์และอีกหลายๆ ฉากที่ทำให้เราน้ำตาไหล อย่างที่บอกว่าคนทำฉลาดวางแผนในการประนีประนอมประเด็นสุดๆ เราชอบการโกหกที่หนังเอามาใช้ ที่ดาวของทิปซี่(PK)สื่อสารกันด้วยการอ่านความคิดทำให้ปราศจากการโกหก การนับถือเชื่อตามผู้ส่งสารของศาสนาและพระเจ้าเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็ไม่ต่างคนเราที่โกหกตัวเองและคนอื่นเพื่อความสบายใจ ชอบมากๆ ที่หนังไม่ได้ทรีตให้การโกหกมีแค่ด้านเดียวเพื่อโจมตีในประเด็นที่ตั้งท่าเล่า แต่ยังให้ทิปซี่ที่เป็นตัวละครแฉเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหมดยังได้เรียนรู้ว่าการโกหกช่วยเยียวยาความรู้สึกเศร้าใจบางอย่างได้จริง มันเป็นการบรรจบเส้นเรื่องรักและประเด็นของหนังได้รอมชอมและแม่นยำสุดๆ ซึ่งวิธีการนี้ไม่ค่อยได่เห็นหนังเรื่องไหนที่ประสบความสำเร็จกับการอะลุ่มอล่วยอารมณ์หนังที่ยังคงผลักประเด็นไปได้ไกล หลายๆ ครั้งการเสียดสีประชดประชันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง หม่อมแอนนา หัวนม มาคารอง โพนยางคำ และการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค, 2014) ที่ประนีประนอม(แล้ว?)แต่ก็ยังถามตรงตอบตรงต่อยกลับแทนเราทุกคำถาม ความไม่รู้เรื่องของทิปซี่ทำให้เรานึกถึงตัวละครของ Antonio Banderas ใน Automata (Gabe Ibáñez, 2014) ที่ตัวละครจำพวกนี้มักเปิดช่องว่างให้เราทบทวนและร่วมตอบคำถามไปกับตัวละครด้วยตัวเราเองได้ แต่คนไม่น้อยมักจะอยากได้คำตอบหรือแม้กระทั่งอารมณ์สำเร็จรูปที่ถาโถมเข้ามาเลยก็ไม่เป็นไร ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็จัดจานราดซอสเสิร์ฟมาให้แบบเอร็ดอร่อยอยู่เหมือนกัน
ถึงแม้หนังจะตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาและเล่าผ่านบทสนทนาตรงๆ เสียส่วนใหญ่ซึ่งหนังส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยง แต่คนทำก็สามารถหาวิธีการเล่าให้มันไหลลื่นและเข้าถึงคนดูได้เพลิดเพลินมากๆ ด้วยการเก็บรายละเอียดผู้คนสภาพแวดล้อมสังคมบ้านเมืองตั้งแต่นักบวช คนร่ำรวย ข้าราชการ สื่อข่าว พ่อค้าแม่ขาย ไปจนถึงหญิงขายบริการ ขอทานและขโมย โดยที่เราไม่รู้สึกถึงความต่างชั้นวรรณะนอกจากรูปลักษณ์และเสื้อผ้าอาภรณ์เท่าไหร่เลยนี่เจ๋งมากๆ ถึงวัฒนธรรมไทยกับอินเดียจะแตกต่างกันมากแต่หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าเหตุผลในการเชื่อมันไม่แตกต่างกันเลยเราก็เลยเชื่อมโยงและสนุกกับเรื่องราวได้อย่างสุดๆ เรารู้ดีกันอยู่แล้วว่าประเทศอินเดียมีชนชั้นวรรณะและมีความเชื่อในพระเจ้าและศาสนาแรงกล้าและหลากหลายมากมายขนาดไหน ในหนังปรากฏทั้งศาสนสถาน สถานที่ราชการ สื่อที่ชื่อว่า India Now อย่างชัดแจ้ง ในความรู้สึกส่วนตัวของเราก็มีหลายฉากที่เข้าข่ายดูหมิ่นและเสี่ยงต่อการถูกปาหินปาไข่ปาขี้มากๆ ทำให้สงสัยว่าฉากเหล่านี้มันสำเร็จได้ด้วยวิธีการแบบไหนกัน และสิ่งที่ไม่อาจละเลยที่จะชื่นชมได้คือความกล้าหาญของคนทำ และเมื่อดูจากรายได้หนังที่ทำสถิติเปิดตัวสูงสุดตลอดกาลในอินเดียแล้วก็อดที่จะชื่นชมยินดีด้วยไม่ได้ที่คนในประเทศเปิดกว้างรับชมรับฟังหนังที่มีทัศนคติที่แตกต่างจากสังคมที่เป็นอยู่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรายได้ของหนังไทยบางเรื่องที่คนในสยามประเทศแห่แหนกันเข้าไปดูทุกภาค ต่างกันตรงที่ว่าหนังเรื่องนั้นเขาขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่ PK เป็นหนังที่คนไทยทุกคนควรจะได้มีโอกาสดู และเป็นหนังในแบบที่คนไทยควรจะมีโอกาสได้คิดและได้ทำ ถึงแม้มุกแลกเปลี่ยนเงินอารมณ์เดียวกับในหนังเรื่องนี้จะยังแตะต้องไม่ได้ก็ตาม
หลังหนังจบเรายังมีคำถามที่ยังค้างคาหลงเหลืออยู่ว่า หนังสือ PK จะเติบโตจนกลายเป็นพระคัมภีร์ How to เล่มใหม่ในการปลดแอกพันธนาการความคิดความเชื่อของคนอินเดียได้ขนาดไหนซึ่งน่าติดตามต่อมากๆ
ปล. รวมฉากน้ำตาไหล
- จักกุตามชายแก่ที่มาหลอกขอเงินทิปซี่ไปและรู้ความจริง ภาพอดีตของคู่รักวัยชราคู่นั้นมันทำให้เราน้ำตาไหล
- ทิปซี่สิ้นหวังและพร่ำพูดกับรูปสักการะนับไม่ถ้วน สุดๆ ของความไม่รู้
- ฉากไคลแม็กซ์ที่นอกจากจะซาบซึ้งและยินดีในความรักของนางเอกกับหนุ่มต่างชาติต่างศาสนาแล้ว ฉากในสถานทูตก็บิลด์ความปลื้มปริ่มสุดๆ ด้วยตัวละครพนักงานสถานทูตที่แย่งซีนสุดๆ เรายังรู้สึกว่าทิปซี่กลายเป็นเครื่องมือเต้าข่าวของนางเอกโดยสมบูรณ์แล้ว ใจนึงก็รักอีกใจนึงก็เจ็บ โอยยยยยยยยย (T^T)
- ฉากจากลากัน มนต์รักดูราเซลล์ ^^
ปล.2 ไม่รู้เขียนอะไรเยอะแยะ แต่เอาเป็นว่า..ชอบชิบหายยยยย...
ความคิดเห็น (0)