ร.ด.เขาชนผีที่เขาชนไก่ (ธัญญ์วาริน สุขพิสิษฐ์ / Thailand / 2015)
	 
	ก่อนดูเราก็ตั้งโปรแกรมรับมือเอาไว้แล้วล่ะว่าหนังจะเล่นเบอร์ไหน  เราก็ดูสนุกได้ประมาณนึง  หลายๆ มุกมันตลกดีนะ  อย่างเต้น cover ห้องอาบน้ำแล้วถูกทำโทษมันดูอินไซต์สถานการณ์มาดี  หรือมุกแก๊งกะเทยสามคนที่ชอบแย่งซีนก็ตลกดี  แต่พอบางทีมันเข้าออกผิดจังหวะหรือบางทีมันเยอะไปทุกอย่างมันก็เลยเฝือไปหมด  มีอยู่มุกหนึ่งที่เล่ามีเชิงที่สุดในเรื่องคือช็อตแรกๆ ที่ Establish ฉากเต็นท์นอนที่เด็กร.ด.เปลี่ยนเต็นท์กันในสภาพกางเกงหลุดตูด  เล่าด้วยช็อตไกลๆ ช็อตเดียวมันก็เล่าได้แล้วว่ามันทำอะไรกัน  แล้วคนดูในโรงก็มีสุ้มเสียงท่าทางสนใจอยากรู้อยากเห็นกันด้วยว่าจริงๆ แล้วมันทำอะไรกัน  ซึ่งเราว่ามันได้ผลยิ่งกว่าการยำมุกหมดแม็กทั้งแผงในระดับความฮาความใหญ่ความชัดเจนที่เหมือนๆ กันไปหมด  ซึ่งก็ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีคนดูด่ากราดขนาดนั้น  คนเขียนบทก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวนี่  แต่ก็ยังคิดเล่นมุกซ้ำๆ  จนมันฝืดแล้วฝืดอีก  โอเคหน่อยที่มุกผีหลายฉากมันน่ากลัวดีสำหรับเรา  เมคอัพก็ดี  แต่พอไม่ได้ตั้งใจคิดมาให้เป็นฉากน่ากลัว  และตั้งท่าจะมาเล่นตลกท้ายซีนอย่างเดียวมันก็เลยน่ากลัวได้แค่นั้น
	 
	ถ้าเทียบกับหนังโปกฮาค่ายเดียวกันเอง  เราโอเคกับ’การใช้มุก’ที่เทียวหยอดมาพร้อมการเดินเรื่องให้ไปข้างหน้าใน ‘สตรีเหล็กตบโลกแตก’ มากกว่า  ซึ่งกับ ‘ร.ด.เขาชนผีที่เขาชนไก่’ ที่ยำมุกไปสิบนาทีเรื่องก็ยังวิ่งวนอยู่กับที่และไร้วี่แววการพัฒนาของตัวละคร  แต่ถ้ามองในแง่ของตัวละครที่เอฟเฟ็กต์กับตัวเรื่องแล้วเราโอเคกับ ร.ด.มากกว่าในส่วนของทัศนคติและการตัดสินใจของตัวละครพวกนี้ที่ไร้เดียงสาปัญญานิ่มอย่างสูงสุดไม่ผิดไปจากความไร้สาระที่หนังประเคนมาเล่า  ซึ่ง ‘สตรีเหล็กตบโลกแตก’ เต็มไปด้วยตัวละครวายป่วงเหมือนกันแต่หนังพยายามจริงจังกับอุดมการณ์ก็เลยยิ่งดูหลอกเรามากกว่าเหล่าร.ด.ที่ดูซื่อเซ่อๆ ซ่าๆ  แต่ถึงยังไงถ้ามองขอบเขตตรรกะความตลกกับโลกของหนัง  มุกประตูชนผี ใน ‘ร.ด.เขาชนผีที่เขาชนไก่’ กับ ‘มุกกะเทยตัวยักษ์กระโดดแผ่นดินสะเทือนใน ‘สตรีเหล็กตบโลกแตก’ ก็ดูเลวร้ายพอๆ กัน
	 
	แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้คาดหวังจะเห็นอะไรดีๆ นะ  ฝีมือของผู้กำกับรวมถึงคนเขียนบทและคนตัดต่อตามที่เห็นในเครดิตมาเมื่อเทียบจากผลงานหนังบางเรื่องที่ต่างคนก็ต่างมีของดีทีเดียวและเราก็เคยชื่นชมมาแล้ว  ทำให้เรารู้สึกว่ากับหนังเรื่องนี้มันสุกเอาเผากินเกินไปหน่อยโดยเฉพาะบทหนัง   ถึงมันจะทำหน้าที่ในการเป็นหนังแมสๆ เรียกเสียงหัวเราะเจาะตลาดเด็กมัธยมได้ผลดีในแง่รายได้แค่ไหนก็ตาม  บางทีคนทำหนังก็น่าจะคิดเยอะกว่านี้และหาอะไรใหม่ๆ มาเสิร์ฟให้สมราคาตั๋วที่แพงและเวลาที่เสียไป  อย่างเราเป็นคนที่ชอบดูหนังไทยเราก็ยอมเสียเงินสองร้อยไปดูนะถ้าหนังและคนทำหนังให้ใจเราเพียงพอ  ไม่ใช่แค่คิดพล็อตที่คิดว่าขายได้และปล่อยเนื้อในให้มันกุดกลวง  หรือแค่รับจ้างทำหนังให้เสร็จทันที่ผังค่ายและโรงหนังวางฉายเอาไว้เพื่อให้นายทุนโกยเงินลูกเดียว...เราก็เข้าใจมากถึงมากที่สุดว่าคนทำหนังก็ต้องกินต้องใช้  แต่เราก็ยังเชื่อว่ามันยังทำได้ดีกว่านี้น่า...
                             
                            
                                                     
                    
ความคิดเห็น (0)