หนัง Pacific Rim: Uprising เรื่องราวการต่อสู้ของเหล่าไคจูกับเหล่าหุ่นเยเกอร์ เจค เพนท์คอสต์ ชายหนุ่มหัวรั้น ผู้เคยเป็นผู้บังคับเยเกอร์อนาคตไกล หลังจากพ่อเขาเสียชีวิตในการต่อสู้กับเหล่าไคจู เจค ก็ออกนอกลู่นอกทาง แต่เมื่อภัยอันตรายกลับมาอีกเขา เขาก็ได้รับโอกาสในการขับเหล่าหุ่นเยเกอร์อีกครั้งจากน้องสาวที่หายไป มาโกะ โมริ แถมยังต้องร่วมมือกับแลมเบิร์ต ผู้ที่เป็นทั้งนักบินที่เก่งกาจและคู่แข่ง เจคได้ร่วมมือกับแลมเบิร์ต (สก็อตต์ อีสต์วูดจาก Fast & Furious 8) นักบินที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ผู้เป็นคู่แข่งของเขา และแฮ็กเกอร์ เยเกอร์วัย 15 ปี อมารา พวกเขาต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อปกป้องโลกอีกครั้งหนึ่ง
Jake Pentecost, son of Stacker Pentecost, reunites with Mako Mori to lead a new generation of Jaeger pilots, including rival Lambert and 15-year-old hacker Amara, against a new Kaiju threat.
ผู้ชมทั้งหมด
70,289 ครั้ง
|
เข้าฉาย
22 มีนาคม 2561
|
ออกโรงแล้ว |
28 มีนาคม 2561 13:42:51 (IP 96.30.102.xxx)
|
||
ขอรีวิวสวนกระแส เด็กเดินตั๋วได้ไปดูมาหลังจากที่ลังเลอยู่นาน ด้วยกระแสไปในทิศทางที่ไม่ดีนัก แต่ด้วยความชอบภาคแรกมาก เลยอยากเห็นด้วยตาว่ามันย่ำแย่ขนาดในกระแสวิจารณ์ต่างๆแบบนั้นจริงหรือเปล่า... สำหรับเด็กเดินตั๋วแล้วก็ไม่แย่ขนาดนั้นนะ เวลาดูหนังแนวๆ นี้ เด็กเดินตั๋วไม่ได้โฟกัสกับบท ความสมเหตุสมผล หรือเชื่อมโยงความสมจริงอะไรมาก ดูเหมือนหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วๆ ไป ดูด้วยความใจกว้างและรักหุ่นยนต์แดนอาทิตย์อุทัยและเหล่าสัตว์ประหลาดกิ้งก่ายักษ์กลายพันธุ์อะไรทำนองนั้น สำหรับเด็กเดินตั๋วแล้ว Pacific Rim Up Rising ช่วงแรกเหมือนปูเรื่องให้ตัวละครใหม่ (แทบทั้งหมด) มีศัตรูขององค์กรเยเกอร์ มีเด็กใหม่มาฝึก โครงสร้างก็เรื่อยๆตามสไตล์หนังฮีโร่ แต่พอเปิดตัวฉากสู้ของเยเกอร์กับตัวร้าย สำหรับเด็กเดินตั๋วรู้สึกว่าว้าวมาก แล้วก็ใหม่สำหรับ Pacific Rim เลย (อาจจะดูธรรมดาๆ เหมือนทรานฟอร์มเมอร์นะ แต่ด้วยหัวจิตหัวใจของโลกแปซิฟิกริม มันก็ใหม่เลยสำหรับการที่มีเยเกอร์มาสู้กันเอง) ทุกอย่างในฉากต่อสู้แทบครึ่งเรื่องหลังชวนติดตาม สนุกมาก ใหญ่มาก ไคจูก็ตัวใหญ่ขึ้น เยเกอร์ก็มีมุกใหม่มากขึ้น เหมือนทรานฟอร์มเมอร์ภาคใหม่ๆ ที่อะไรก็ต้องใหม่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เร้าใจขึ้น ดูแล้วก็เพลิดเพลินบันเทิงใจขึ้น ภาคนี้ไม่ได้ผู้กำกับมือตุ๊กตาทองคนใหม่ ‘กีเยร์โม เดล โตโร’ ที่กำกับภาคแรกมากำกับ ได้ผู้กำกับหน้าใหม่ ‘สตีเว่น เอส เดอไนท์’ ที่ขึ้นมาจากกำกับซีรียส์ดังมากมายมาถ่ายทอดเรื่องแทน ส่วนเรื่องนักแสดงภาคนี้แทบจะเป็นหน้าใหม่หมด ไม่ค่อยมีนักแสดงจากภาคเก่ามาร่วมงานสักเท่าไหร่ได้นักแสดงนำเป็นพ่อพระเอกปากบึน ‘จอห์น โบเยก้า’ หรือ ‘ฟินน์’ จากสตาร์วอรส์สองภาคล่าสุดนั่นเอง (Star Wars Force Awaken, The Last Jedi) กับสาวน้อย ‘ไคลี สแปนี’ นักแสดงเด็กสาวหน้าใหม่ ที่ถูกส่งมาเอาใจเหล่าแฟนๆ รุ่นเด็ก (จริงๆ นโยบายการตลาดคล้ายๆ แฟรนไชส์ทรานฟอร์มเมอร์ที่เน้นขายกลุ่มเด็กและเน้นขายของเล่นเป็นส่วนใหญ่) การดำเนินเรื่องจะเน้นไปที่การต่อสู้ของเหล่าเยเกอร์และไคจูเสียมากกว่าภาคแรกที่มีพาร์ทของดราม่าซึ่งเน้นฝีไม้มือทางการแสดงมากกว่า การแสดงของตัวละครก็จะไปคล้ายๆ เหล่าตัวละครต่างๆ ในหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วไป (โทนประมาณมาเวล) ไม่ได้แสดงทักษะการแสดงที่ว้าว หรือโดดเด่นอะไรมากนักในความคิดเห็นของเด็กเดินตั๋ว นักแสดงภาคเก่าที่ยังคงอยู่ก็มีมาโกะ และสองดอกเตอร์คู่หูที่มาเป็นตัวซัพพอร์ตเรื่องเช่นเดิม ในความเทใจให้หนังเรื่องนี้ ก็มีหลายๆ จุดที่ขัดใจเด็กเดินตั๋วอยู่ประมาณนึงที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ เรื่องนี้เน้นขายเด็กมากๆ จนเกือบจะกลายเป็นหนังเด็กเหมือนความรู้สึกที่ดูทรานฟอร์มเมอร์สภาคหลังๆ และเรื่องนี้เน้นขายตลาดประเทศจีนมาก อะไรๆ ก็เกิดขึ้นในจีน นักแสดงสำคัญๆก็เป็นชาวจีน จนเริ่มรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง (นึกว่าดูหนังไต้หวัน ฮ่องกงอยู่ - -“) ส่วนเพลง Theme สุดเท่ห์จากภาคแรกในภาคนี้ไม่มีนำมาใช้เลย แอบผิดหวัง การนำมาใช้อยู่ในลักษณะการดัดแปลงใหม่ แล้วค่อนข้างก๊องแก๊งและแย่ประมาณนึง ทำให้ผิดหวังกับเพลงมากๆ และเรื่องใหญ่มากสำหรับเด็กเดินตั๋วคือภาษาภาพ การคอมโพสต์ภาพช่างธรรมดาเกินไปสำหรับมาตรฐาน (ซึ่งจัดอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กเดินตั๋ว) ภาพไม่ค่อยส่งอารมณ์และเพิ่มความน่าสนใจให้หนัง ต่ำกว่ามาตรฐานของหนังฮอลลีวู้ดมาก แม้จะมีข้อตำหนิเยอะอยู่ประมาณนึง สรุปว่าเด็กเดินตั๋วยังคงชอบแฟนไชร์สนี้อยู่ สำหรับใครที่ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจเด็กเดินตั๋วแนะนำให้ไปดูด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่อรีวิวซะทีเดียว ไปตัดสินจากตัวเรา ความชอบเรา บางทีบางอย่างต่างคนต่างความคิด ให้ตัวเราเข้าไปตัดสินความชอบของเราเสียดีกว่า บางทีเรื่องนี้อาจจะเป็นสองชั่วโมงที่มีความสุขกับคนที่คุณรักในโรงภาพยนตร์ก็เป็นได้ - เด็กเดินตั๋ว - สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
2.5
ฝีมือนักแสดง
6
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
5.5
|
||
28 มีนาคม 2561 02:10:17 (IP 134.196.241.xxx)
|
||
Pacific Rim: Uprising
|
||
25 มีนาคม 2561 12:22:26 (IP 184.22.226.xxx)
|
||
Pacific Rim: Uprising "ปฏิวัติพลิกโลก" 111 min | Action/Sci-fi | Directed by Steven S. DeKnight เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ? หลังจากที่มวลมนุษยชาติรอดพ้นจากการถูกเหล่ามอนสเตอร์หรือไคจูบุกโลก ใน Pacific Rim ภาคแรก โลกก็ดูเหมือนจะไม่สงบสุขอย่างที่คิด เพราะมนุษย์ก็ยังอยู่อย่างหวาดกลัว ว่าเหตุร้ายจะเกิดซ้ำสอง เจค เพนเทคอตส์ (John Boyega) ลูกชายของวีรบุรุษสงครามอย่าง สแต็คเคอร์ เพนเทคอตส์ เขาใช้ชีวิตต่างจากผู้เป็นพ่อของเขาอย่างสิ้นเชิง เป็นหัวขโมย ไม่สนใจโลก ทั้งที่อดีตเค้าก็เคยเป็นนักขับเยเกอร์ฝีมือดี แต่โชคชะตาก็ขีดให้เขากลับไปข้องเกี่ยวกับเยเกอร์อีกครั้ง พร้อมกับต้องรับมือกับภัยร้ายใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาสู่โลก อีกครั้ง !? ความรู้สึกแรกหลังดูจบ.. อาจจะเพราะว่าได้ไปอ่านกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก่อนเข้าไปชมก็ได้ ทำให้ผมกดความคาดหวังที่มีต่อภาคต่อเรื่องนี้ไว้ต่ำมาก ซึ่งเดิมทีมันก็ค่อนข้างที่จะไม่สูงมากอยู่แล้ว เนื่องจากตัวอย่างหลายต่อหลายตัวของหนังที่ปล่อยออกมาก็ไม่ได้สร้างความ hype ให้กับตัวผมเท่าไหร่ เกริ่นมาเสียนาน หนังค่อนข้างทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ อย่างน้อยก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร เป็นหนังป๊อปคอร์นดีๆ เรื่องนึง ดูได้เพลินๆ แต่ก็ไม่มีซีนใดซีนนึงที่พีคมากนัก สิ่งที่น่าชื่นชม เหตุผลในการแถสร้างภาคต่อค่อนข้างทำได้น่าพอใจ คือมันไม่ดูเด๋อหรือจงใจแถมากนัก เพราะตัวหนังภาคแรกมันค่อนข้างจบบริบูรณ์ไปประมาณนึง และการที่เดลโทโร่ไม่ได้มาทำต่อจึงทำให้เรื่องราวอาจไม่ปะติดปะต่อ แต่ Uprising ก็กลับทำส่วนนี้ได้ดี สิ่งที่รู้สึกไม่ชอบ ต้องยอมรับว่า การที่หนังภาคแรกถูกอกถูกใจแฟนหนังแผ่นดินใหญ่ มีผลให้ภาคนี้ออกมาไม่ดีอย่างภาคแรก เพราะภาคนี้ดูจะเอาใจจีนมากจนเกินไป จนหลายต่อหลายจุดในเรื่องดูประดักประเดิด ดูเด๋อไปนิด ซึ่งตรงนี้เองก็ทำให้ความเป็น Pacific Rim ที่เดลโทโร่สร้างขึ้นจากความรักความหลงไหลในวัฒนธรรมโทคุเซ็ทสึของญี่ปุ่น ซึ่งภาคนี้ไม่มีตรงนี้อยู่เลย แถมยังกลายพันธุ์เป็น Transformers: Age of Extinction อย่างเต็มตัว แถมดนตรีประกอบอันเป็นที่น่าจดจำ ภาคนี้ยังถูกหยิบมาใช้แบบไม่มีศิลปะและไม่ขลังอย่างที่มันควรจะเป็น รวมไปถึงไคจู ที่เป็นสเน่ห์อีกอย่างของหนังก็ถูกจัดวางอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งหมดนี้ลดทอนคุณค่าให้ภาคที่ 2 ของ Pacific Rim นี้กลายเป็นหนังตลาดดาดๆ เรื่องนึงไป สรุป แม้ว่าตัวหนังจะโยนความเป็น Pacific Rim ทิ้งไปจนหมดสิ้น จนหนังขาดสเน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ไป แต่ตัวหนังก็พอจะดูได้เรื่อยๆ ดูเพลินๆ ได้อยู่ ฉากต่อสู้ฉากอะไรยังพอมีให้สนุกได้อยู่บ้าง ไม่ได้ถึงกับแย่จนดูไม่ได้อะไรนัก ใครที่ดูภาคแรกมาแล้วชอบมากอาจจะต้องเผื่อใจไว้นิดนึง ว่าคุณภาพอาจจะต่างไปจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
6.6
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
5 เมษายน 2561 01:01:42 (IP 171.97.76.xxx)
|
||
หนังเรื่องนี้สนุกมากๆๆๆๆๆๆ ยิ่งใหญ่อลังการทุกฉาก
สมกับการรอคอยเลยครับ |
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ