หนัง Along With the Gods หรือชื่อไทยว่า ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า ครั้งแรกที่ภาพของดินแดนปรโลกจะปรากฏต่อหน้าเราทุกคน เตรียมตัวออกผจญภัยฝ่านรกทั้ง7 ขุมที่จะไม่ได้เป็นแค่ภาพในจินตนาการ ไปกับ 3 ยมทูตนักสู้ เพื่อส่งสุดยอดวิญญาณของนักดับเพลิงหนุ่มไปเกิดใหม่ให้สำเร็จ ในภาพยนตร์แอคชั่น-แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ที่สร้างจากเว็บคอมมิคส์พันล้านวิวของเกาหลี ALONG WITH THE GODS ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า
Along With the Gods Having died unexpectedly, firefighter Ja-hong is taken to the afterlife by 3 afterlife guardians. Only when he passes 7 trials over 49 days and proves he was innocent in human life, he's able to reincarnate, and his 3 afterlife guardians are by his side to defend him in trial.
ผู้ชมทั้งหมด
29,866 ครั้ง
|
เข้าฉาย
28 ธันวาคม 2560
|
ออกโรงแล้ว |
9 มกราคม 2561 10:00:50 (IP 180.183.244.xxx)
|
||
หากใครเคยชมเทรลเลอร์มาก่อน คงจะคิดว่านี่เป็นหนังแนวแอคชั่นแฟนตาซี เราก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ความจริง คือ มันออกแนวเชิงปรัชญา ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นบาปของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ไม่มีใครดี 100% หรือว่าเลวบริสุทธิ์ ตัวหนังมีคอนเซ็ปที่ดี มุมกล้องสวย CG งาม ฉากแอคชั่น(ที่มีนิดนึง) ก็เท่มาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่หนังกำหนดมาว่าเป็นบาป 7 ประการ การเล่าถึงบาปจึงถูกแบ่งออกเป็น 7 เหตุการณ์ ที่พระเอกเคยทำบาปไว้ อาจเพราะว่าหนังมันมีเวลาเล่าเรื่องที่จำกัด ทำให้ผมรู้สึกว่า มันเหมือนเรานั่งดูโฆษณาไทยประกันชีวิต 7 เรื่องแทนซะงั้น จังหวะแก้ต่างคดีง่ายจนไร้ชั้นเชิง เดินออกมาจากโรงด้วยอารมณ์ที่ไม่สุดดุจขี้ไม่ออก (แต่ก็ไม่เสียดายตังค์ค่าตั๋วนะ) สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
4
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
6.8
|
||
4 มกราคม 2561 04:18:55 (IP 125.25.122.xxx)
|
||
Along with the Gods: The Two Worlds (Kim Yong-hwa | South Korea | 2017) นี่คือหนังตลาดกระแสหลักฟอร์มใหญ่ในกลุ่มที่อุดมไปด้วยวิชวลเอฟเฟคที่ชอบที่สุดในรอบปี ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหนังฟอร์มยักษ์จากทั่วโลกทั้งจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป และขาใหญ่อย่างฮอลลีวูดแล้ว Along with the Gods : The Two Worlds ให้ได้มากกว่าความเป็นหนังแอคชั่นแฟนตาซีที่ดูสนุกตื่นตาตื่นใจ ด้วยการขับเคลื่อนประเด็นความดี - ความเลว ซึ่งแน่นอนว่าโคตรจะซ้ำซาก ซึ่งถูกใช้ในหนังจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแสนจะน่าเบื่อ แต่หนังกลับพาเรื่องราวจำเจนี้มาเล่าผ่านชีวิตก่อนตายและหลังตายของตัวละครพระเอกนักดับเพลิงฮีโร่จนเกิดมิติที่น่าถกเถียงและน่าติดตาม ตั้งแต่ต้นเรื่องตัวละครวิญญาณนักดับเพลิงถูกหยิบมาชำแหละชีวิตตั้งแต่ต้นยันตายจากครอบครัวที่มีแม่เป็นใบ้และน้องชายที่เป็นทหาร มีกลุ่มยมทูต 3 คนเป็นเสมือนทนายที่หากินกับพระเอกที่เพิ่งตายซึ่งถูกตีตราว่าเป็นวิญญาณคนดีเพื่อหวังรับผลประโยชน์ที่จะได้ไปเกิดใหม่ตามต้องการได้หากพาวิญญาณคนดีผ่านกระบวนการศาลคัดกรองคนดีคนชั่วจนได้ไปเกิดใหม่ครบตามจำนวนที่กำหนด ขณะเดียวกันระหว่างการเดินทางไปแต่ละศาลในโลกหลังความตายเกิดปั่นป่วนเพราะวิญญาณร้ายที่ตามกลิ่นมาจากความอาฆาตของวิญญาณทหารน้องชายพระเอกที่ตายหลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้ายมทูตจึงต้องเดินทางไปโลกคนเป็นเพื่อตามหาความจริงและช่วยให้วิญญาณอาฆาตของน้องชายพระเอกหลุดจากความแค้นหรือไม่ก็จับตัวไปยังโลกหลังความตายเพื่อกำจัดทิ้ง จึงทำให้เกิดเรื่องราว 2 เส้นเรื่องที่ดำเนินไปพร้อมๆ กันทั้งสองโลกอย่างน่าติดตาม เสียแต่ว่าช่วงแรกของเรื่องจะรู้สึกว่าประเด็นความเป็นคนดี - คนเลวของตัวละครมันชวนเลี่ยนเอียนและผ่านพ้นอุปสรรคได้ง่ายดายไปหน่อย แต่พอเข้าถึงช่วงหลังที่หนังพาไปถึงฉากศาลสุดท้ายซึ่งความกระอักกระอ่วนเริ่มมากขึ้นก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างที่ค่อยๆ คลี่คลายบาปบุญคุณโทษนั้นน่าติดตามขึ้นมาทันที จริงๆ แล้วรู้สึกถึงความตั้งใจวางหมากบทเพื่อหวังบังคับอารมณ์คนดูมากๆ และส่วนของแอคชั่นที่ดำเนินไปพร้อมๆ กันก็เว่อร์เกินตรรกะมากไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวละครในหนังก็ยังชวนเศร้าและชวนคิดอย่างงดงาม คำถามที่ว่าคนดีต้องเป็นเช่นไร คนชั่วหรือคนที่เคยทำผิดพลาดจริงๆ แล้วสามารถเรียกว่าคนดีหรือเป็นคนดีได้ไหม เมื่อเขาเหล่านั้นกลับมาทำดีในภายหลังผุดขึ้นมาตั้งคำถามและตอบกลับกันไปมาภายในหัวซึ่งสุดท้ายยังคงไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดซึ่งทำให้เรายังคิดและรู้สึกถึงชีวิตของตัวละครเหล่านี้อยู่ และการเสียสละเก็บงำความรู้สึกของแต่ละตัวละครสามแม่ลูกในครอบครัวที่เคยสิ้นหวังก็ทำให้น้ำตาเราไหลพราก เอาเข้าจริงแล้วรายละเอียดยิบย่อยที่จะทำให้หนังดูไหลลื่นและสมบูรณ์แบบนั้นยังดูอ่อนข้อและขาดหายอยู่ประปราย ไม่ว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนตัวละครหรือสถานการณ์ในบางจุดที่ง่ายเกินไป และมีหลายจุดในการสร้างโลกหลังความตายที่ขาดการทำความเข้าใจกับคนดูให้คล้อยตามเรื่องราวทั้งหมดโดยที่ไม่รู้สึกสะดุดได้ รวมไปถึงหลายจุดที่น่าจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความลุ้นระทึกและสนุกได้มากกว่านี้แต่หนังกลับปล่อยวางทิ้งไป อย่างเช่นการเดินทางเข้าออกระหว่างโลกคนเป็นและคนตายของเหล่ายมทูตและวิญญาณซึ่งหากมีการจำกัดเวลาก็น่าจะชวนลุ้นได้มากกว่าการท่องไปเรื่อยๆ ทำให้มีเพียงคอนฟลิกต์ในส่วนของเวลา 49 วัน ในเส้นเรื่องหลักเท่านั้นที่ทำงาน ซึ่งก็ยังน้อยอยู่ และอุปสรรคอื่นๆ อย่างความปั่นป่วนของวิญญาณร้ายในยมโลกที่ตัวละครต้องผจญระหว่างการเดินทางไปยังแต่ละศาลเพราะวิญญาณอาฆาตก็ถูกขจัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ และไม่ได้ไต่ระดับความจนตรอกของตัวละครจากผลพวงนี้สักเท่าไหร่ก็เลยรู้สึกเสียดายที่หนังไม่ได้ใช้ไอเดียพวกนี้ขับความลุ้นระทึกได้อย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าความเนี้ยบเนียนไหลลื่นในส่วนของงานสร้างและวิชวลเอฟเฟคทั้งหลายอาจจะยังสู้ทางฝั่งฮอลลีวูดเงินหนาไม่ได้ แต่เนื้อเรื่องกลับโดดเด่นในการนำประเด็นจริงจังพาเครียดมาพูดถึงในหนังฟอร์มใหญ่ที่เรียกแขกด้วยฉากแอคชั่นตื่นตาตื่นใจ และการออกแบบโลกหลังความตาย อย่างเช่น ศาลต่างๆ ทั้งสถานที่ เทพผู้พิพากษาและวิธีการลงโทษของแต่ละศาลก็สร้างสรรค์ชวนสนุกและลุ้นระทึกดี อาจจะยังไม่ได้ไหลลื่นและไม่ได้เป็นหนังที่ลุ้นระทึกได้เทียบเท่า Train to Busan ซึ่งเป็นหนังที่หลายๆ คนหยิบขึ้นมาเปรียบเทียบกับเรื่องนี้ แต่เรื่องราวและประเด็นที่เล่านั้นก็ชวนให้โศกเศร้า ซาบซึ้ง และติดค้างอยู่ในหัวได้ไม่แพ้กัน เชียร์ให้ไปดูๆ สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.6
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ