หนัง X-Men: Dark Phoenix Jean Grey สุดยอดมนุษย์กลายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ได้ยกระดับ พัฒนาพลังตัวเองไปอีกขั้น และทำให้เธอได้กลายเป็น Dark Phoenix เหล่า X-Men ที่เหลือต้องตัดสินใจว่าชีวิตของเพื่อนร่วมทีมจะคุ้มค่ากว่าชีวิตทั้งหมดบนโลกหรือไม่!
Jean Grey begins to develop incredible powers that corrupt and turn her into a Dark Phoenix. Now the X-Men will have to decide if the life of a team member is worth more than all the people living in the world.
ผู้ชมทั้งหมด
41,637 ครั้ง
|
เข้าฉาย
6 มิถุนายน 2562
|
ออกโรงแล้ว |
12 มิถุนายน 2562 00:12:41 (IP 134.196.241.xxx)
|
||
X-Men : Dark Phoenixเป็นภาคจบที่ไม่ได้แย่อย่างที่มีคำวิจารณ์ออกมา แต่ก็ไม่ได้ดีจนตราตรึงใจ ถือว่าเป็นภาคจบที่เสียดายพอสมควร ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของหนังสนุกนะ แต่หลังจากนั้นเนื้อเรื่องแทบไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย ถึงแม้จะมีฉากแอ๊คชั่นมากมายแต่ก็ไม่สามารถดึงเราให้สนุกกับหนังได้เลย ในภาคนี้หนังเน้นเรื่องของ จีน เกรย์ ผู้ได้รับพลังฟินิกซ์จากการทำภารกิจ แต่ด้วยพลังที่มากเกิน ทำให้จีน เกรย์ตัดสินใจออกมาจากทีม x-men ภาคนี้ตัวละครเยอะเหมือนภาคก่อนๆ มีการแบ่งบทให้ทุกตัวละครมีจุดเด่น แต่ตัวหนังมันดูแข็งๆ ฉากบางฉากส่งอารมณ์มาได้ไม่สุด จนดูแล้วมันติดๆ ขัดๆ ไปหมด ในด้านดีก็คือครึ่งชั่วโมงแรกของหนังนี่คือสนุกมาก น่าติดตามสุดๆ มีเรื่องราว มีภารกิจจนเราสนุกไปกับมันมากๆ ข้อดีอีกอย่างของหนังคือฉากแอ็คชั่นที่จัดเต็ม อลังการ ดูแล้วไม่เสียดายเงินแน่นอน แต่เนื้อเรื่องหลังจากที่จีน แยกตัวออกมาจากทีมแล้ว ไม่สนุกเท่าที่เราหวังไว้ ถึงแม้ฉากแอ็คชั่นจะอลังการตามข้อดีที่บอกไป แต่มันไม่สนุก ไม่ดึงดูดเราเลย นักแสดงที่เล่นได้ดีมากๆสำหรับผมเลย คือ Michael Fassbender ที่แสดงเป็น Magneto ตอนออกมาฉากแรกเท่มากจริงๆ หลังจากนั้นพี่ก็ก็แสดงดีมาก ถ้าไม่ได้พี่แก หนังต้องดูจืดมากๆ แน่ๆ (เท่จริงๆ) ขณะที่จีน เกรย์ก็แสดงออกมาได้ดีมีฉากอารมณ์หลายฉากแล้วแสดงออกมาได้โอเคเลย สำหรับผมแล้วดู x-men มาทุกภาค ก็จะบอกว่าไม่ชอบเลยสักภาค(แต่ก็ติดตามมาตลอดนะ555) ภาคนี้ก็ไม่ชอบเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าภาคอื่นๆ สำหรับผมก็ยังดูเพลินๆ ได้แบบไม่เสียดายตังค์ค่าตั๋ว สรุป แฟน X-men ควรต้องไปดูครับ สำหรับใครไม่เคยติดตามมาก่อนเลยอาจดูเข้าใจยากนิดนึงครับ สำหรับผมก็สนุกในระดับนึง คุ้มค่าตั๋วสำหรับผมนะ ยังไงก็ต้องลองไปดูแล้วตัดสินกันเองครับ ปล.ตอนดูจบยอมรับว่างง Timeline ของหนังแฟรนไชส์นี้มาก สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
7
|
||
9 มิถุนายน 2562 13:02:17 (IP 184.22.105.xxx)
|
||
X-MEN: DARK PHOENIX " ปิดท้ายแฟรนไชส์ภายใต้การดูแลของ FOX..ได้จืดไปนิดนึง " 113 min | Action/Sci-fi | Directed by Simon Kinberg บทสรุปส่งท้ายของแฟรนไชส์หนัง X-MEN กว่า 19 ปีภายใต้การดูแลของค่าย 20th Centuries Fox ก่อนที่จะย้ายไปสู่บ้านใหม่ Walt Disney (ที่เชื่อว่าหลายคนรอคอยเหลือเกิน) Dark Phoenix ว่าด้วยเรื่องราวระหว่างที่ทีม X-Men ออกไปปฏิบัติภารกิจกู้ภัยในอวกาศ แต่เกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้น จีนเกือบจะตายเพราะถูกพลังคอสมิคบางอย่างพุ่งชน แต่เธอก็รอดกลับมาได้ พร้อมกับพลังที่มากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เพียงแต่ว่าเธอกลับไม่สามารถควบคุมมันได้และหวาดกลัวในสิ่งที่อยู่ข้างใน ทีม X-Men จึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือจีน ไม่ให้เธอลงมือทำอะไรที่เลวร้าย และปกป้องจีนจากวายร้ายที่ต้องการใช้พลังของเธอเพื่อทำการใหญ่บางอย่าง.. คือเอาจริงตอนแรกก็คิดว่าหนังจะเละไปเลย เพราะด้วยความที่ตัวหนังมีปัญหามากจนถึงขั้นต้องมีการถ่ายซ่อม และมีการเลื่อนฉายจากปีก่อนมาฉายปีนี้ก็ดี แต่พอได้ดูแล้วก็ค้นพบอย่างแรกเลยคือการที่หนังถ่ายทำเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนแปลงบทและเรื่องราว ไม่ใช่การถ่ายซ่อมหนังแต่อย่างใด เพราะหากดูก็เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกได้เหมือนกัน นั่นก็คือเหมือนแรกเริ่มเดิมที หนัง X-MEN เรื่องนี้ยังไม่ใช่บทสรุปซะทีเดียว ภาคนี้ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นภาคต้นของเรื่องราวสงครามที่โลก/X-MEN สู้กับ ตัวร้ายใหม่หรือ Dark Phoenix เสียมากกว่า แต่พอเกิดการเปลี่ยนมือในการดูแลแฟรนไชส์นี้เกิดขึ้นทำให้ต้องมีการแก้ไขให้ทุกอย่างถูกรวบจบและสรุปในหนังภาคนี้ภาคเดียวเลยเสียมากกว่า พอเรามองจากมุมมองนี้ก็เกิดความยอมรับในใจว่าโอเคหนังก็คุมให้ออกมาได้ดีที่สุดเท่านี้แล้วจริงๆ ดูจบแล้วเอาจริงหนังมันก็พอดูได้เพลินๆ อยู่ เพราะ X-MEN ชุดนี้ก็มีความโดดเด่นในเรื่องของ Characters หรือ ทีมนักแสดงอยู่แล้ว อย่างเช่น Magneto ที่รับบทโดย Michael Fassbender ที่ยังคงความน่าสนใจอยู่ การดำเนินเรื่องถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรและแบนราบแต่อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ไร้ทิศทาง สะเปะสะปะอะไรเพียงแต่หนังก็มีความเซ็งแซ่ในแบบของมัน ด้วยความที่เพลย์เซฟก็ดี หรือสเกลที่เล็กน้อยของมันก็ดี จะบอกว่าผิดหวังก็ไม่เชิงเพียงแต่ว่าเสียดายปนเข้าใจ เพราะตัวหนังเองก็ตั้งใจทำออกมาเพื่อแลนดิ้งแฟรนไชส์นี้ให้จบลงอย่างปลอดภัยไม่พังเสียมากกว่า โดยรวมแล้วในฐานะคนที่ชอบหนัง X-MEN (ไม่ว่าจะเละแค่ไหนก็ตาม) ก็พอรับได้บ้างและหากคุณเป็นคนแบบเดียวกันก็อยากให้ลองไปดู แต่ถ้าไม่ใช่ก็เรียนแจ้งกันตรงๆ ว่า Dark Phoenix เป็นหนังที่เราผ่านได้โดยไม่รู้สึกเสียดายหรือรู้สึกพลาดอะไร หนังไม่ได้แย่ ไม่ได้พังขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพีคพอที่จะดึงดูดผู้ชมเลย สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
6.5
คะแนนเฉลี่ย
6.6
|
||
8 มิถุนายน 2562 14:33:31 (IP 184.22.89.xxx)
|
||
รีวิว X-Men: Dark Phoenix ฉบับเด็กเดินตั๋ว ไม่รู้ว่าเป็นการจบจักรวาล X-Men หรือเปล่าหรือจะมีต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ แต่ภาคนี้ราวฟ้ากับเหวกับ X-Men First Class เลยล่ะ ทั้งการดำเนินเรื่อง สไตล์การกำกับที่ไม่จัดจ้านโดดเด่นเหมือน First Class หรือ Days of Future Past เลย ไม่คูลไม่เท่ห์ เพลงไม่เร้าใจ ซีนไม่โดดเด่นเฉียบขาด ไม่มีฉากจำเหมือนฉากที่ Quick Silver วิ่งไปทั่วห้องครัว หรือฉากเท่ๆ ระหว่างแมกนีโต้กับชาร์ลส์เลย... ราวกับไม่ได้อยู่จักรวาลเดียวกัน กลายเป็นว่า... Dark Phoenix ช่างเงียบเชียบ ราบเรียบ ไร้พลังและดราม่า ตัวละครอ่อนปวกเปียก ราวกับแค่ 'มาถ่ายๆ ให้มันจบๆ ไป' ทำให้เรารู้สึก 'ดูให้มันจบๆ ไป' ประมาณนั้นเลย ขนาดหนัง Wolverine ภาคสุดท้าย Logan ที่ดราม่าจัดก็ยังจัดว่าเฉีบบขาดเชิงการเล่าเรื่องและการดำเนินเรื่องมากกว่าเสียอีก เนื้อเรื่องของ ' จีน เกรย์ ' หากเทียบกับภาคก่อนหน้านี้ (X-Men The Last Stand 2002) ที่เล่าเรื่องเดียวกัน ภาคนั้นยังมันส์และวางคาแรกเตอร์จีน เกรย์ได้ซับซ้อนกว่าภาคนี้มาก หากพูดถึงในแง่ดราม่าต้องกล่าวถึงการแสดงบ้าง แต่ในภาคนี้ การแสดงไม่ได้ดึงซีนดราม่าให้ได้อารมณ์อะไรมาก ไม่เหมือน Huge Jackman ในLogan ที่ถ่ายทอดความเป็นพ่อออกมาได้อย่างลึกซึ้งแม้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ในภาคนี้ความดราม่าก็ไม่ได้ไปสุดขั้นนั้น... ก็ด้วยความที่ติดตาม X-Men มาทุกภาคยังไงก็ต้องไปดูให้ครบ แต่ก็แอบรู้สึกเฉยๆมากกับภาคนี้ ดูจบไม่ได้อินกลับมาท่วมท้นอยากเม้าท์มอยหรืออยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมต่อ
-เด็กเตินตั๋ว- สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
6.9
|
||
6 มิถุนายน 2562 13:11:03 (IP 180.183.244.xxx)
|
||
[รีวิว] X-Men: Dark Phoenix เรื่องราวในภาคนี้จะเกิดขึ้นในปี 1992 ต่อจากเหตุการณ์ใน Apocalypse ซึ่งเหล่า X-Men ได้รับภารกิจให้ไปช่วยเหลือนักบินอวกาศ ที่โดนปะทะจากแสงสุริยะ ด้วยเหตุนั้น ทำให้ Jean Grey ได้รับพลังบางอย่าง และนั่นส่งผลให้เธอเป็นอันตรายต่อทุกคนที่อยู่ใกล้เธอ เป็นที่มาของ Dark Phoenix ก่อนหน้าที่จะได้ดูเรื่องนี้ ภาคที่เราชอบน้อยที่สุดคือ Apocalypse แต่พอได้ดูเรื่องนี้จบความคิดเปลี่ยนในบัดดล Dark Phoenix กลายเป็นหนังที่ชอบน้อยที่สุด และโดยส่วนตัวรู้สึกว่าทุกๆ อย่างในเรื่องนี้มันแย่ที่สุดจากทั้งหมดในแฟรนไชส์ X-Men เลยก็ว่าได้ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวต่อจาก Apocalypse แต่มันก็ไม่ได้เล่าเรื่องราวหรือมีเหตุการณ์อิงอะไรต่อจากช่วงนั้นสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าก้าวกระโดดข้ามมาแบบไม่อิงถึงเลยดีกว่า เลยทำให้หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังภาคนี้มันค่อนข้างแปลก ไม่อิน และชวนสงสัยอยู่ไม่น้อย เรื่องราวในภาคนี้จริงๆ แล้วเริ่มต้นได้ดีนะ กับการปูบทของ Jean Grey ว่ามาอยู่กับ Charles ได้ยังไง บทพูดในช่วงนั้นก็ดูดี เท่ และคมไม่ใช่เล่น แต่พอดำเนินเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบันในเรื่องนี้เละทะมาก รู้สึกตะหงิดอยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่อง ไล่ตั้งแต่บทพูด การดำเนินเรื่อง การตัดสินใจของตัวละครต่างๆ มันอะไรกันฟะ เหมือนคนเป็นไบโพล่าอะ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ รู้สึกหลายๆ อย่างมันแปลกมาก ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากพีค ฉากว้าว ไร้ซึ่งความตื่นเต้นใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะจุดไคลแม็กซ์ท้ายเรื่องที่บทไม่ส่งเลย ไม่มีเสน่ห์ความเป็น X-Men สักเท่าไหร่เลย และตอนจบนั่นมันอะไรกัน!!! อาจจะเพราะด้วยความที่ภาค Last Stand เราได้เห็นความอลังจากพลังของ Jean Grey ที่ตัวเธอทั้งดูน่ากลัว น่าเกรงขาม และดูอันตรายจริงๆ ในเรื่องนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น บทบาทของ Jean Grey ใน Dark Phoenix ดูเป็นวัยรุ่นอารมณ์ฉุนเฉียว มีปัญหาครอบครัว ที่ดูน่ารำคาญมากกว่าน่ากลัว พลังของ Dark Phoenix ที่ควรจะยิ่งใหญ่ กลับดูง่อย พลังทั้งหมดของเธอก็อย่างที่เราเห็นกันในตัวอย่างนั้นแหละ จากตัวที่ควรจะเด่น กลายเป็นตัวละครที่ไม่มีเสน่ห์และไม่น่าจดจำเลยแม้แต่น้อย จริงๆ ในเรื่องนี้ไม่มีตัวละครไหนโดดเด่นและน่าจดจำเลยจริงๆ สักตัว ทุกตัวละครดูน่ารำคาญหมด ไม่รู้ทำไม โดยเฉพาะ Charles แม้กระทั่งตัวละครอย่าง Magneto ที่ตลอดเวลาขณะดูหนังเรื่องนี้ ภาวนาให้มันโผล่มาเร็วๆ ต้องได้เห็นอะไร เท่ๆ บ้างแหละ เพราะในภาคก่อนๆ ของนักแสดงชุดนี้ เฮีย Michael Fassbender แสดงออกมาได้เท่และน่าจดจำสุดๆ สุดท้ายพอออกมา ก็มีซีนเท่ๆ เพียงไม่กี่ฉากในตอนท้ายๆ เท่านั้น อีกทั้งยังเสียดายบทบาทของหลายๆ ต่อละคร ที่น่าจะปล่อยของอะไรออกมาได้มากกว่านี้ ทางด้านตัวร้ายก็เช่นกัน จริงๆ ไม่ต้องมีบทของมันก็ได้นะ ไม่ปูที่มาที่ไปอะไรว่าเป็นใครมาจากไหน ทำอะไรได้ คืออาจจะมีพูดอยู่บ้าง 1-2 ประโยค แต่เรายังไม่ทันอินอะไรกับการกระทำของมันเลยด้วยซ้ำ เอาวะ ถ้าเนื้อเรื่องมันเละทะ ตัวละครดูไม่ดี อย่างน้อยฉากแอ็คชั่นมันก็ต้องดีและสนุกแหละน่า แต่...ทั้งเรื่องค่อนไปทางแย่ แลดูจืดชืดเสียมากกว่า มีเพียงฉากบนรถไฟที่พอจะโอเค คือเข้าใจใช้พลังของแต่ละคนเล่นในฉากแอ็คชั่นได้ฉลาดและดูดี (ฉากนี้แหละที่ Magneto ดูเท่ที่สุดละ) อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมคือเพลงประกอบ ต้องบอกว่า Hans Zimmer เรียบเรียงออกมาได้ดูดีเลย เผลอๆ บางฉากเพลงตื่นเต้นกว่าฉากนั้นด้วยซ้ำ (เพลงในช่วง End-Credit ยังตื่นเต้นกว่าจังหวะการเล่าเรื่องของหนังทั้งเรื่องเสียอีก) สรุปแล้ว X-Men: Dark Phoenix เป็นหนึ่งในหนังที่แย่ที่สุดในแฟรนไชส์ X-Men ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ แถมยังมีช่องโหว่ กับเหตุการณ์ที่น่าสงสัยเต็มไปหมด คือหนังอาจจะจงใจเปิดช่องว่างให้ทำเรื่องราวอื่นๆ ใน X-Men ได้ต่อแหละมั้ง รวมๆ แล้วมันให้ความรู้สึกแค่แบบว่า “มันเป็น X-Men นะเหวย คงต้องรับผิดชอบด้วยการไปดูให้มันจบๆ ไป” เท่านั้นแหละ ปล. หนังไม่มีฉากก่อนและหลัง End-Credit ไม่ต้องรอจ้าาาา สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
2.5
การดำเนินเรื่อง
2
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
5
|
||
6 มิถุนายน 2562 10:14:25 (IP 119.46.91.xxx)
|
||
X-Men Dark Phoenix ดาร์คสมชื่อจริงๆ ทั้งเนื้อเรื่องและคะแนน มันคงถึงจุดอิ่มตัวของแฟนไชร์ X-Men แล้วแน่ๆ ถึงขั้นว่าต้องกลับไปหากินกับของเก่า โดยยึด Topic อย่าง Dark Phoenix ซึ่งเคยใช้มุขนี้ไปแล้วใน X-Men Last Stand 2006 ซึ่งหลายคนยกให้เป็นภาพที่สนุกน้อยสุดลำดับต้นๆของแฟรนไชส์นี้ เรื่องราวในภาคนี้จะเล่าแบบเจาะลึกตัวละครตจีน เกรย์ ตั้งแต่วัยเด็ก มีปมอะไร ทำไมถึงต้องมาอยู่กับชาร์ล เซเวีย ที่โรงเรียนนี้ และหลังจากภาระกิจล่าสุดเธอได้รับพลังคอสมิคบางอย่าง ที่ทำให้ความแข็งแกร่งของพลังที่เธอมีอยู่เพิ่มเป็นทวีคูณ รวมไปถึงกลุ่มคนปริศนา ที่ต้องการหลอกใช้พลังของจีน เพื่อครองจักรวาล หลังจากดูจบก็เกิดคำถามต่างๆมากมาย ตัวหนังเองมีความแอคชั่นน้อยลงจนเห็นได้ชัด มีการเน้นไปทางการปูเรื่อง ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของตัวละคร (แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนดูอินได้เท่าภาคก่อนๆ) จุดนี้แทนที่จะเป็นจุดเด่นที่แตกต่างและน่าติดตาม กลับกลายเป็นส่วนด้อยที่สุดของเรื่อง แถมท้ายด้วยข่าวคราวการเลื่อนฉาย+การถ่ายทำช่วงองค์สุดท้ายของเรื่องใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้มีความคล้ายคลึงกับหนัง Captain Marvel มีการเปลี่ยนแปลงจากการต่อสู้ในอวกาศ กลายมาเป็นฉากต่อสู้บนรถไฟแทน ในส่วนนี้คือก็ยังทำได้สนุก และดีอยู่นะ เพียงแต่มันไม่ดีพอที่จะช่วยให้หนังทั้งเรื่องดูดีมากไปกว่านี้ จนแอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าได้ดูองค์สุดท้ายเวอร์ชั่นก่อนที่มีการถ่ายทำใหม่ หนังจะออกมาดีกว่านี้มั้ย(ถ้าไม่รับว่าคล้ายหนังอีกเรื่อง) สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องเลยดนตรีประกอบของ Han Zimmer ที่ยกระดับความสนุกของหนังในหลายๆ ฉากให้สนุกขึ้น 80% เลยก็ว่าได้ สรุปแล้ว ถือเป็นการส่งท้าย X-Men ที่ค่อนข้างจะผิดหวังหน่อยๆ แนะนำให้ก่อนไปชมควรที่จะ #เลิกคาดหวังกับตัวหนัง น่าจะสนุกกับหนังไม่มากก็น้อย 7/10 สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
7.5
คะแนนเฉลี่ย
7
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
Kow
9 พฤษภาคม 2562 23:20:26 (IP 223.24.169.xxx)
|
||||||||||||||
GUEST |
หนังภาคต่อ จาก อะเว้นเจ้น4ไหมค่ะ ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวใหม่หรือป่าวค่ะ
|
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ