หนัง Fantastic Beasts 2 หรือชื่อไทยว่า สัตว์มหัศจรรย์ อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1927 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่นิวท์ ได้ช่วยเหลืือจนสามารถเปิดเผยและจับกุมตัวพ่อมดศาสตร์มืด กรินเล็ตต์ กรินเดวัลล์ได้ แต่อย่างที่เขาได้สัญญาเอาไว้, กรินเดลวัลด์สามารถหลบหนีการคุมขังออกมาได้ เขาเดินทางเพื่อรวบรวมผู้ติดตามของเขา เพื่อยกระดับพ่อมดแม่มดให้เหนือกว่าเหล่าโนเมจทั้งมวล มีพ่อมดเพียงคนเดียวที่อาจจะหยุดยั้งเขาได้ นั่นคือเพื่อนรักของเขา อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แต่ดัมเบิลดอร์ต้องการร่วมมือพ่อมดที่เคยปะทะกับกรินเดลวัลด์มาก่อน เขาคนนั้นคือ นิวต์ สคาแมนเดอร์ ทำให้การผจญภัยร่วมกันของนิวต์ ทีน่า ควินนี และโจอี้ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ภารกิจในครั้งนี้จะทดสอบความจงรักภักดีของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหม่ในโลกของพ่อมดและแม่มด ที่อันตรายและพร้อมจะแบ่งแยกทุกฝ่ายออกจากกัน
The second installment of the 'Fantastic Beasts and Where to Find Them' series which follows the adventures of Newt Scamander.
ผู้ชมทั้งหมด
60,287 ครั้ง
|
เข้าฉาย
15 พฤศจิกายน 2561
|
ออกโรงแล้ว |
26 พฤศจิกายน 2561 00:59:43 (IP 134.196.241.xxx)
|
||
Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwaldหนังภาคสอง ในจักรวาลของ Harry Potter เล่าเรื่องถึง นิวท์ สคาแมนเดอร์ ที่ถ้าใครอ่าน Harry มาต้องรู้จักชื่อนี้ ซึงเป็นผู้เขียนตำราสัตว์มหัศจรรย์ ในภาคนี้นิวท์ ได้เดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อตามหาทีน่า แต่ก็ต้องเจอปัญหาเมื่อกรินเดวัลล์ ได้แหกคุกออกมาและเริ่มหาพรรคพวกของตน โดยส่วนตัวภาคนี้มีดีมากๆ ที่ IMAX3D ภาพสวยมาก นูนออกมาจากจอมาก แต่บท และการดำเนินเรื่องถือว่าแย่ที่สุดในจักรวาล Harry เลย จะยังไงขอธิบายดังนี้ครับ 1. ขอชมก่อนครับ สิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ IMAX3D ที่ภาพเต็มตา และภาพ 3D ดีมากๆ สวยมาก นูนออกมาจากหน้าจอตลอดทั้งเรื่อง และฉากแรกๆนี่เหมือนเราหลุดไปในโลกเวทมนตร์เลย (แต่ภาพเคลื่อนที่ไวมากอาจจะปวดหัวนิดนึง) ในด้านนี้ยอมรับเลยว่าถือว่าเป็น IMAX3D ที่ทำภาพออกมาได้ดีที่สุดในปีนี้เลย คุ้มแน่นอนครับอยากให้ไปดู 3D กัน 2. สำหรับคนที่ไม่ได้อ่าน Harry Potter ต้องบอกเลยว่าอาจดูเรื่องนี้ไม่รู้เรื่อง เพราะตลอดทั้งเรื่องมีเนื้อหาและชื่อตัวละครลับที่อยู่ใน Harry เยอะมาก คนที่ไปดูด้วยก็บอกว่างงไปหมด ตัวละครเยอะจนงง ชื่อก็สับสน อันนี้เตือนเลยภาคนี้สร้างไม่ค่อยเอื้อกับคนที่ไม่ค่อยได้ตาม Harry ส่วนคนที่ดู Harry ก็น่าจะฟินกับความลับตัวละครต่างๆ 3. การดำเนินเรื่องน่าเบื่อมาก แทบไม่มีอะไรเป็นจุดพีคของหนัง เป็น 2 ชั่วโมงที่รู้สึกอึดอัดขนาดเราเป็นแฟนคลับแฮร์รี่ ยังรู้สึกเบื่อเลย เนื้อหาไม่ได้น่าติดตามเท่าที่ควร อีกอย่างคือสัตว์ในหนังรู้สึกว่าแทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเลย เอามาใส่ๆ แบบนั้น ไม่ได้ตื่นเต้นหรือรู้สึกว้าวอะไรทั้งนั้น 4. ก็บอกเลยว่าไม่ค่อยชอบภาคนี้ ซึ่งมีดีแค่ภาพสวย อลังการ แต่ตัวบทไม่ได้เรื่องเลย นักแสดงก็เฉยๆ ไม่ได้ฉุดให้หนังดีขึ้น 5. ต่อจากนี้จะมีอีกสามภาค แต่ถ้าภาคที่เหลือยังเป็นแบบนี้ บอกเลยว่าน่าจะไปไม่รอด (ภาคนี้เปิดตัวสัปดาห์แรกได้รายรับน้อยสุดในจักรวาลแฮรร์รี่เลย) 6. ป้าเจเค ผู้แต่งแฮร์รี่ แล้วมาเขียนบทให้ Fantastic Beasts แต่มันไม่เข้าขั้นสองภาคที่ผ่านมารู้สึกได้เลยว่าบทและหนังธรรมดาพอสมควร แต่ยังไงแฟนคลับก็ต้องติดตามกันต่อไปแหละเนอะ สรุป สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
3
การดำเนินเรื่อง
3
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
6
|
||
22 พฤศจิกายน 2561 14:16:42 (IP 96.30.101.xxx)
|
||
หนังภาคต่อจากจักรวาลโลกเวทย์มนตร์แห่ง แฮรี่ พอตเตอร์ ที่กำลังสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเอง ด้วยท่าทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ซีเรียสมากขึ้น และเต็มไปด้วย Easter Egg จำนวนมากที่จะทำให้คุณหวนละลึกไปถึงวันเก่าๆ ในขณะที่คุณอ่านหนังสือเล่มแรก ประกอบกับการที่มันถูกสร้างเป็นหนังซีรี่ขนาดยาวถึง 5 ภาคต่อกันด้วยเนื้อเรื่องขนาดยักษ์ ทำให้ถ้าคุณพลาดภาคใดภาคหนึ่ง คุณก็จะหลุดออกจากเนื้อเรื่องไปเลย หนังท้าทายให้คนทำการบ้านมาพอสมควร จึงไม่แปลกใจเลยที่หนังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันมากๆ จริงๆ แล้วตัวหนังภาคนี้ทำตัวคล้ายกับภาค Order Of Phonix ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีนัยยะบ่งบอกคนดูว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หนังแฮรี่ จะไม่สดใสอีกแล้ว แฮรี่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการเป็นผู้ใหญ่มันโหดร้ายมากมายแค่ไหน” เนื่องจากผมเองเป็นแฟนบอยคนหนึ่งเหมือนกัน ก็จะได้เห็นว่า JK หมกมุ่นกับความตาย การมีชีวิติอยู่ต่อไปมากๆ การตายของซีเรียส แบล๊ค กับตอนจบของเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่แบบนั้น ภาคแรกของ Fantastic Beast ออกไปทางงดงาม น่ารักน่าชัง ไร้เดียงสามากๆ แต่ในภาคอาชญากรรมของกริมเดอวิลด์ก็มืดดำอย่างที่มันควรจะเป็น นี่เป็นโลกสงครามเวทมนตร์ที่ถ่ายทอดอย่างรุนแรง การหักหลัง ความตาย เพื่อนพ้อง หนังยังคงมีโทนใสๆ ให้เห็นอยู่บ้าน ผ่านการแบกของนิวท์กับดับเบิลดอร์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความอึมครึมของหนังลดลง หนังกำกับจากลูกหม้อคนเดิม ที่ยังคงแข็งแกร่งในการเล่าเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ แต่กลับเล่าอย่างทุลักทุเลในช่วงจังหวะที่ตึงเครียด ฉะนั้นเรายังคงจะสนุกกับมุกตลกที่เสริมมาเรื่อยๆ ผ่านเจคอบ แต่ส่วนหลักที่เป็นแก่นของเรื่องอย่างครีเดนซ์ ลีตา ควีนนี่ และตัวนิวท์กลับทำได้ไม่ดีนัก ความขัดแย้งหลายๆ อย่างยังดูโหวงๆไม่น่าสนใจ กริมเดอวิลด์นั้นเก่งมากๆ แต่วิธีการออกจะกำปั้นทุบดินไปหน่อย เราเห็นความฉลาดในการจัดแจงของมันนะ แต่มันไม่ได้โดดเด่น หรือหักมุมมากมายอะไรเหมือนกับภาคเก่าๆ ตอนจบที่เพลิงสีฟ้าก็เป็นการใช้ “ท่าไม้ตาย” ที่นอนเซ็นต์เหลือเกิน รวมไปถึงการรับมือกับสาวกของมือปราบมารทั้งหลายก็ดูจะไม่ค่อยชาญฉลาดแต่อย่างใด พอหนังไม่มีแหล่งค้นคว้าแบบนิยาย ทำให้นัยยะสำคัญที่หลากหลายทางความหมายและอารมณ์กลับไม่สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างที่มันควรเป็น JK ชอบซ่อนนัยยะอยู่แล้ว ถ้าจะเก็บมันจริงๆ ต้องกลับไปดูอย่างน้อยสองสามรอบจริงๆ นั่นแหละ หนังยังไม่จบบริบูรณ์ มีอะไรหลายอย่างปูไว้ให้เฉลย สำหรับแฟนๆ โลกเวทย์มนตร์ก็คงรู้สึกกลับมาเห็นเพื่อนเก่าคนเดิมจากภาคที่แล้วซึ่งกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ซีเรียสมากขึ้นเหมือนภาคหลังๆของแฮรี่ พอตเตอร์ ซึ่งความเห็นคงต่างๆกันนั่นแหละ มีคนที่ชอบความไร้เดียงสาภาคแรก และเกลียดซีเรียสๆแบบภาคหลังก็มี แต่สำหรับแฟนๆทุกคน การเข้ามาในโลกเวทย์มนตร์กี่ครั้งมันก็มีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นจิตนาการใหม่ๆของ JK ก็ยิ่งทำให้ในใจลุกวาวเหมือนตอนที่ได้เห็นห้องโถงของฮอกวอร์ตครั้งแรก Easter Egg ทั้งหลายก็ขนมาทำให้ฟินกันตามระเบียบ ตัวนิวท์ผู้แบกความสดใสในเรื่องก็ทำหน้าที่แบกได้จรดฝั่งจริงๆ ชื่นชมนักแสดงทุกๆ คนเลย Fantastic Beast ทำหน้าที่หนังได้ไม่เต็มที่นัก ส่วนมหัศจรรย์ ส่วนตัวละครยังคงเสน่ห์เอาไว้ได้ แต่ตัวโครงเรื่องซีเรียสกลับไม่ได้เล่าอย่างชาญฉลาด หลายครั้งตัดต่อและใช้มุมกล้องที่แปลกประหลาดมากๆ แถมช่วงหักมุมก็ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ กริมเดอร์วิลด์ทำแกงค์โวลเดอร์มอร์เป็นเด็กน้อยไปเลยก็จริง แต่เสกลพลังก็บ้าบอมากๆเหมือนกัน ถ้าจะเก็บ Fantastic Beast ให้จบ และเป็นแฟนๆ จักรวาลแฮรี่ พอตเตอร์ ก็ไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง สำหรับคนที่ไม่เคยดูเลย อาจต้องทำการบ้านหนักหน่อยนะครับ สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
7.7
|
||
18 พฤศจิกายน 2561 21:02:43 (IP 184.22.217.xxx)
|
||
รีวิวจริง...ไม่อิงกระแส [No Spoil]
มีกระแสวิจารณ์ไปทางเชิงลบหรือผิดหวังเสียมาก จนเด็กเดินตั๋วชักรู้สึกตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่ด้วยใจที่รักโลกแห่งเวทมนตร์มากๆ ทั้งอ่านหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์และดูหนังทุกเรื่อง รีวิวนี้เขียนจากใจเด็กเดินตั๋วเลยนะ เอาความรู้สึกตรงๆ เลยคือ...สนุกมากเลย ไม่ทิ้งมาตรฐานเดิมของหนังจักรวาลนี้เลย ฟิลลิ่งอารมณ์เหมือนกำลังดูแฮร์รี่ภาคท้ายๆ ที่กำลังต่อต้านอำนาจมืดอยู่เลย อันนี้เหมือนสื่อสารทางความคิดด้านแนวคิดทางการเมืองการปกครองไว้เยอะอยู่มาก ส่วนความบังเทิง อรรถรสสนุกสนาน ความมันบอกเลยว่า...มาเต็ม! นอกจากนี้ก็ไม่ผิดหวังกับโลกเวทมนตร์ที่สรรค์สร้างได้อย่างเหนือจินตนาการจริงๆ ภาพงดงามตระการตา การออกแบบสัตว์วิเศษทำได้น่าประทับใจไม่ต่างจากภาคที่แล้ว(แต่มาน้อยกว่าประมาณครึ่งนึงเลย) แม้เนื้อเรื่องและรายละเอียดมีมากมายแต่สามารถเล่าเรื่องได้เร็วและกระชับ จังหวะหนังออกแบบมาไว้ดีมากส่งอารมณ์ได้หลากหลายตามสไตล์แฮร์รี่ พอตเตอร์เลย บทบาทและคาแรกเตอร์ของนิวท์ สคาแมนเดอร์ที่รับบทโดยนักแสดงดีกรีตุ๊กตาทองนำแสดงชายยอดเยี่ยมอย่างเอ็ดดี้ เรดเมนย์ก็ไม่ตกมาตรฐานการแสดงของเฮียเขาเลย บทบาทที่ได้รับในภาคนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะไปที่นิวท์มากเท่าภาคที่แล้ว เน้นกระจายไปหลายตัวละคร ทำให้ไม่ได้ชูบทนิวท์ให้เด่นกว่าบทแสดงอื่นสักเท่าไหร่ แต่สำหรับป๋าจอห์นนี่ เด็บส์ที่ภาคที่แล้วมีแอร์ไทม์น้อยเหลือเกิน... ภาคนี้มีบทบาทสำคัญและป๋าก็ถ่ายทอดตัวละครได้อย่างน่าชื่นชม มีหลายๆอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ ดัมเบอร์ดอร์ตอนหนุ่มที่รับบทโดยจัสติน ทิมเบอร์เลค ก็มีบทบาทแม้ยังไม่โดดเด่นในภาคนี้ แต่ปูทางไว้สำหรับภาคต่อไปน่าจะเยอะพอสมควร สำหรับเด็กเดินตั๋วแล้ว ภาคนี้ไม่ตกมาตรฐานจากภาคที่แล้วสักเท่าไหร่นะ ทั้งในแง่งานสร้าง ซีจี เพลงประกอบ การแสดง อาจจะมีผิดหวังเชิงแอร์ไทม์ของเหล่าสัตว์วิเศษที่ออกมาอวดโฉมกันน้อยไปนิด แต่ออกมาแต่ละครั้งก็อิมแพ็คแรงทุกครั้งเลย แถมมีสัตว์วิเศษที่เอาใจทาสแมวด้วย เหล่าทาสแมวเห็นต้องใจละลายและประทับใจแน่นอน และสำหรับเหล่าแฟนๆ โลกเวทมนตร์รับรองว่าจะรักเรื่องนี้แน่นอน - เด็กเดินตั๋ว - สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8.5
|
||
16 พฤศจิกายน 2561 17:58:36 (IP 119.46.186.xxx)
|
||
[รีวิว] - Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald หนังภาคต่อของ Fantastic Beasts and Where to Find Them กับเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ใน Harry Potter โดยในภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากในภาคแรกในทันที กับการหลบหนีของ Grindelwald โดยเขาพยายามออกตามหา Credence Barebone เพื่อจะใช้ประโยชน์จากเด็กไร้เดียงสาผู้นั้น ทำให้ Newt Scamander และผองเพื่อนต้องออกตามหาและหยุดยั้ง Grindelwald โดยหัวเรื่อง Fantastic Beasts ทางผู้แต่งอย่าง J.K. Rowling มีแพลนจะสร้างถึง 5 ภาค และแน่นอนว่าเมื่อหนังถูกปูมาเยอะขนาดนั้น โดยธรรมชาติแล้วในภาคระหว่างทางมันก็ย่อมจะดร๊อปความสนุก ลดทอนความตื่นเต้นของภาคแรกลงไปเยอะอย่างแน่นอน และนั่นแหละคือสิ่งที่ Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald เป็น การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียว ทั้งช้า ทั้งยืด และใส่ใจรายละเอียดรอบข้างมากเกินจำเป็น เหมือนพยายามยืดเนื้อเรื่องให้มันยาว หลายๆ ฉากมันควรจะรวบรัดตัดตอนได้มากกว่านี้ กลับทำให้มันยาวอย่างไม่จำเป็น มันเลยดูน่าเบื่อไปสำหรับเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ความว้าว ความตื่นเต้น ความสนุก และสเน่ห์ที่น่าดึงดูดใจของตัวสัตว์มหัศจรรย์ในภาคแรกหายไปเกือบหมด ก็เข้าใจนะที่จะเน้นเรื่อง Grindelwald แต่ก็ช่วยให้สัตว์มหัศจรรย์ต่างๆ ที่เราว้าวในภาคแรกมีบทบาทมากกว่านี้ก็ยังดี คือเรียกได้ว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นตัวประกอบไปซะหมดเลย มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไม่ใช่น้อยแค่บทของสัตว์มหัศจรรย์เท่านั้นนะ ตัวละครในภาคแรกก็บทบาทน้อยลงไปตาม ด้วยความที่เนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นภาคที่ปูทางไปสู่ภาคต่อ มีการเปิดเผยตัวละครออกมาเยอะแยะมากมาย ทำให้ลดทอนตัวละครหลักในภาคแรกไปเยอะเลยทีเดียว และตัวละครเพื่อนพระเอกที่เด่นๆ ในภาคแรก ภาคนี้ก็ดูด้อยลงไปจนลืมไปเลยว่าเขาเคยมีตัวตน และเหล่าตัวละครใหม่ๆ ก็มีบทไม่ค่อยเยอะเลย และก็อีกนั่นแหละ ด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นหนังทางผ่าน เพื่อปูไปยังภาคต่อไป มันจึงเต็มไปด้วยซับพล็อตที่เต็มไปหมด คือแต่ละตัวละครก็มีเส้นเรื่อง มีเรื่องราว มีประเด็น เต็มไปหมด เหมือนหนังภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนดูซีรีย์ คือแบบจะเนือยๆ แวะขยายความ ชมนกชมไม้ นู่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วมาพีคตอนใกล้ๆ จบ แล้วลงเอยด้วย “โปรดติดตามตอนต่อไป...” มันให้ความรู้สึกแบบเหมือนดูซีรีย์ไม่มีผิดเพี้ยนเลย แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือตัวละครอย่าง Grindelwald รับบทโดย Johnny Depp ที่ดูเป็นตัวร้ายที่มีมิติ การแสดงอารมณ์ ท่าทางของตัวละครตัวนี้ คือดูร้าย ตัวละครดูกลม ดูน่าหลงไหล และมีเสน่ห์ รวมทั้ง Dumbledore ที่รับบทโดย Jude Law ที่ถึงแม้ออกมาน้อยแต่ก็ยังคงแข็งแรงพอให้น่าติดตาม แล้วน่าสนใจไม่แพ้ Grindelwald เลย สรุป ก็เพลินในระดับหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้จ๋าๆ อย่างเรา และถึงแม้หนังมันจะเนือย อืดแค่ไหน มันก็ยังสามารถทำให้เราสนใจ ชวนให้เราอยากที่จะติดตามต่อได้ แถมยังมีฉากทำให้เหล่าสาวก Harry Potter คิดถึงอยู่เหมือนกัน สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
6.5
|
||
16 พฤศจิกายน 2561 14:24:57 (IP 125.24.171.xxx)
|
||
The Crimes Of Grindalwald จุดเริ่มต้นของสงครามโลกเวทมนตร์ เนื่องเรื่องว่าด้วยหลังจากที่กรินเดลวัลด์ถูกจับกุมในช่วงท้ายของภาคทีแล้ว ทางกระทรวงเวทมนตร์อังกฤษได้ต้องการตัวพี่แกไปตัดสินโทษ จึงได้มีการขนย้ายกรินเดลวัลด์ แล้วสุดท้ายก็หนีออกมาได้ และเริ่มรวมตัวสาวก ให้เข้าร่วมอุดมการณ์ที่ต้องการให้ผู้วิเศษปกครองทั้งโลกเวทมนตร์ และโลกของผู้ไร้เวทมนตร์ ถ้าทำสำเร็จมันจะเป็นการกดขี่ทุกคนที่ไม่มีเวทมนตร์ทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งอุดมการณ์นี้เองคือสิ่งที่ลอร์ดโวลเดอมอร์ได้ยึดเป็นจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ ต้องยอมรับว่าภาคนี้ เจ.เค.เอาใจแฟนๆ หนังสือ และหนังแฮร์รี่เป็นอย่างมาก เพราะการเล่าเรื่องนั่นทำให้เวลาดูไม่เหมือนเราได้ดูหนัง แต่เหมือนกำลังอ่านหนังสือซะมากกว่า เพราะนอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้ว ยังใส่รายละเอียด และผปมต่างๆ เข้ามามากมาย อิรุงตุงนังไปหมด ซึ่งปมทั้งหมดที่ใส่มาแทบไม่ได้มีการเฉลยแต่อย่างใด และทำให้แฟนๆต้องทบอกแตกตายกันไปข้าง เพราะต้องไปติดตามต่อให้ภาคที่ 3-5 นั่นเอง รวมไปถึงการใส่ Easter Egg ตามรายทางให้แฟนๆ ต้องร้องว้าวนั่นเอง ส่วนตัวผมงว่าภาคนี้เหมือนเป็นจุดแตกหักครั้งแรกที่ คอหนัง กับแฟนหนัง+แฟนหนังสือ เห็นต่างกันอย่างมาก กลับกันถ้ามองในแง่ของนักดูหนัง ภาคนี้ขาดความกลมกล่อมเป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าเกือบจะคนละม้วนกับภาคที่แล้วเลยก็ว่าได้ มีหลายฉากที่สามารถตัด หรือหั่นให้กระชับมากกว่านี้ และไม่ส่งผลกับ point หลักช่วงท้ายของเรื่องด้วย ในส่วนคนที่อยู่ฝั่งนี้ ไม่แปลกที่จะไม่ชอบกัน และมีความเห็นไปในทางเดียวกันกับคะแนน RottenTomatoes สรุปแล้วภาคนี้เป็นหนังที่ เจ.เค. เซอร์วิสแฟนๆ หนังสือและหนังแฮร์รี่เป็นหลักจริงๆจนบางครั้งมันเยอะจนล้นในความเป็นภาพยนตร์ ทำให้สามารถมองได้ว่า ภาคนี้เหมือนแค่หนังขั้นเวลาที่สามารถย่อดีเทลคัดเอาแต่เนื้อๆ ให้สั้นลงได้ แต่ที่โดนเด่นคือ CG เวทมนตร์ต่างๆ ในเรื่อง ที่สร้างความตระการตา และที่สำคัญ 3D Frame Break นั้นเพิ่มอรรถรสในการชมให้ทวีความสนุกขึ้นไปอีกกับลูกเล่น สามมิติพุ่งทะลุจอเข้าหาคนดู คอหนังสามมิติที่เน้นวัตถุพุ่งๆฟินตายแน่ 7.5/10 สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9.5
คะแนนเฉลี่ย
7.5
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ