รีวิวหนัง Spider-Man: Far From Home - สไปเดอร์แมน ฟาร์ ฟรอม โฮม

เรื่องนี้แบบดีมากๆ พระเอกหล่อเวอร์ นางเอกก็น่ารัก

Spider-Man: Far From Home
(Review IMAX System)

เป็นหนังที่สืบจักรวาล Marvel ได้อย่างดีมากๆ สำหรับตัวผมมันมีความแปลกใหม่ ตัวบทตัวเนื้อเรื่องหลอกคนดูตั้งแต่ตัวอย่างหนัง ขนาดเข้าไปดูแล้วยังหลอกแล้วหลอกอีก หลอกฉากต่อฉาก รวมไปถึงฉาก End Credit ที่พีคที่สุดเท่าที่เคยดูมา ยอมรับใจคนที่ดำเนินหรือครีเอทีฟจักรวาล Marvel จริงๆ หลังจากจบ Avenger ก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะน่าสนใจอะไร จนมาดูจึงรู้ว่าคิดผิด เพราะ Spider Man Far from home นี่มันดีมากๆ จริงๆ  และมันยิ่งใหญ่มากๆ เมื่อได้ดูในระบบ Imax ฉากและภาพสวยมากจริงๆ

เมื่อเข้าไปดูในระบบ IMAX ยอมรับว่าภาพสวยมากกกกกกกกกกก!!! ไม่เสียใจเลยที่ไปดู ส่วน 3D ก็ดีมากฉากมีมิติทุกฉาก (หนังบางเรื่องภาพก็จะไม่ได้มีมิติมากนัก) ฉากทุกฉากสวยหมด สวยจนอยากบอกให้ทุกคนมาดูในระบบนี้ ฉากเที่ยวคือสวยมากเหมือนกับเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย ฉากสู้ก็อลังการมากในระบบนี้ ยังไงก็อยากให้ทุกคนไปดูในระบบนี้ครับ เพราะเรื่องนี้ทำมาให้ดูใน IMAX จริงๆ 

ส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ ตัวบทและเนื้อเรื่องครับ ด้วยหนังฮีโร่ เราก็จะเจอแต่เนื้อเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก แต่เรื่องนี้ต่างออกไป คือหลอกเราตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างหนังแล้ว พอมาดูหนังก็ยังหลอกแล้วหลอกอีก หลอกจน End Credit คือไม่เคยเจอหนังฮีโร่ที่ทำให้เราเซอร์ไพร์สได้เยอะขนาดนี้ ดูจบแล้วรู้สึกอิ่มใจมาก มันดีมากจริงๆครับ จากภาคแรกที่รู้สึกธรรมดามากๆ แต่ภาคนี้มันดีเกินไปจริงๆ ครับ 

และด้วยหนังมีโทนน่ารักขบขัน แต่ทุกฉากแฝงความเคร่งเครียดไว้เสมอ ทำให้ทุกคนดูสนุกไม่ตึงจนเกินไป และนักแสดงที่ชอบมากๆคือ Zendaya ที่แสดงเป็น MJ แสดงดีมาก เท่มาก คือเหมาะกับพระเอกเรามากจริงๆ เคมีเข้ากันพอดี 

ตัวร้ายในภาคนี้ ใช้ Mysterio ซึ่งในหนังเป็นตัวละครที่มีมิติมาก ยอมรับว่าเป็นตัวร้ายที่ดูดี เท่มาก และมีแผนการตลอดเวลา 

สรุป คือต้องไปดูครับ ต้องไปดูจริงๆและถ้าให้แนะนำก็ต้องไปดูในระบบ Imax มันดีมากจริงๆ ภาพสวยสุดๆ และก็อย่าลืมดูฉาก End-Credit ทั้งสองฉากด้วยนะครับ พลาดแล้วจะเสียใจน้า 

Spider-Man: Far From Home 

ด้วยความที่เป็นหนังสไปเดอร์แมน หน้าตารสชาติหนังก็จะออกไปทางสไปเดอร์แมน ตลกๆ เบาๆ ให้ได้อมยิ้มกันไปทั้งเรื่อง ไม่ได้เคร่งขรึมหล่อเท่เหมือนแนว Avengers สักเท่าไหร่ จะมีความคาแรกเตอร์ของสไปเดอร์แมนออกมาเต็มๆ ทอม ฮอลแลนด์สามารถถ่ายทอดความเด็กวัยรุ่นค้นหาตัวตน จีบสาวได้น่ารักมากๆ ใครที่เอ็นดูน้องทอมก็จะฟินกันไป แถมด้วยความเจค เกลเลนฮาลก็จะแมนๆหล่อเท่กันไป ส่วนใครที่เป็นแฟนป้าเมย์ภาคนี้ก็จะผิดหวังหน่อยด้วยแอร์ไทม์ป้าเมย์น้อยมากเลย(เสียใจ...) 

ที่ประทับใจในเรื่องนี้มีสองเรื่องคือตัวร้ายมีวิธีการที่เฉียบมาก และมีวิชวลที่ตอนสไปเดอร์แมนโดนโจมตีทั้งทางร่างกายและจิตใจทำได้อย่างดีจริงๆ วิชวลอลังการมากเก๋มากๆ เหมือนเล่นมายากลกับคนดูเลย เหมือนดูนิทรรศกาลแสงสีเสียงเจ๋งๆ เลย เป็นประสบการณ์การดีหนังที่เจ๋งมาก (นี่ถ้าดู3Dคงจะเฉียบกว่านี้ล้านเท่า)

อีกเรื่องที่ประทับใจความอินเลิฟของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์วัยมัธยมปลาย ที่ดูวัยใสน่ารักๆ น้องแลดูพยายามมากในการจะเข้าหาเอ็มเจ ดูเป็นรักวัยใสน่ารักๆ คิวท์ๆดี

ป.ล. ดูแล้วจะรัก 'อิดีธ'  ไม่รู้คืออะไรต้องไปดูเอง คิคิ...

SPIDER-MAN: FAR FROM HOME

" ปิดท้าย Phase 3 ของ MCU และปูทางไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ "

129 min | Action/Sci-fi | Directed by Jon Watts 

     หลังจากที่ Avengers: Endgame เป็นเสมือนบทสรุปอันยาวนานของ Infinity Saga ที่ก็สร้างทั้งความประทับใจ รอยแผลอะไรบางอย่างให้กับทั้งตัวละครในเรื่องและผู้ชม ซึ่งแม้ว่าหลายอย่างจะดูขมวดปมไปแล้วแต่มันก็ยังหลงเหลือสิ่งที่ต้องเล่าต่อ เพื่อให้จุดเชื่อมต่อบางอย่างก่อนหน้านี้สมบูรณ์ รวมไปถึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ เฟสใหม่ของจักรวาลหนัง Marvel ด้วย และหน้าที่นั้นเป็นของ 1 ในฮีโร่ที่น่าจะมาเป็นแกนหลักใน Saga ถัดไปด้วย Far From Home จะเล่าเรื่องต่อจาก Endgame ทันที เมื่อปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ต้องการจะมูฟออน และ ใช้ชีวิตแบบปกติของเค้าบ้าง ด้วยการเดินทางไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ ที่ยุโรป รวมไปถึงวางแผนพิชิตใจ MJ อีก แต่การเดินทางและแผนการทั้งหมดก็ต้องถูกขัดขวางโดย วายร้ายที่มีลักษณะเหมือนธาตุหรือภัยพิบัติต่างๆ เข้าจู่โจม (ซึ่งในขณะนั้นสมาชิก Avengers คนอื่นๆก็ไม่ว่าง) ทำให้ นิค ฟิวรี่ ต้องการตัวปีเตอร์เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิก Avengers ทำให้ปีเตอร์ต้องเลือกระหว่างชีวิตปกติ กับ การเป็นฮีโร่ที่แบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง...!!

     สิ่งที่ชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ และ เป็นสิ่งที่ Jon Watts ผู้กำกับดูจะทำได้ดีที่สุดนั่นก็คือในพาร์ทที่ไม่ใช่หนังฮีโร่ อาธิ พาร์ทของความเป็น โรแมนติก ครอบครัว และ คอเมดี้ ที่ดูจะเด่นชัดมาก เพราะเค้าวางตัวละครกลุ่มเพื่อนปีเตอร์มาได้ดี ทำได้น่าสนใจ มีความเป็นหนังวัยรุ่น ไฮสคูล ที่ดูสนุกและตลกมากกก มุกตลกในหนังคือทำงานได้โคตรดี จนเป็นเหมือนตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้เดินหน้าไปได้อย่างสนุก พาร์ทที่ชวนซึ้ง ชวนอบอุ่นก็ทำได้ดีมาก ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้มันดีมาก เมื่อแยกกันเป็นก้อนๆ แต่พอมารวมกันแล้วจะเห็นว่า Jon Watts มีปัญหาในการจับทุกอย่างนี้มาผสมผสานกันให้กลมกลืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องแบกโครงสร้างเรื่องราวในพาร์ทของฮีโร่เข้ามาอีก แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงกับทำให้หนังพังอะไร เพราะตัวหนังยังถูกช่วยไว้ด้วยข้อดีข้างต้น รวมไปถึงทีมนักแสดงที่มีสเน่ห์มาก ตั้งแต่ ก๊วนเพื่อนปีเตอร์ไปจนถึงตัวสมทบอย่าง Samuel L. Jackson, Jake Gyllenhaal, Jon Favreau เพียงแต่คิดว่าเรื่องราวมันอาจจะออกมากลมกล่อม คมคายกว่านี้ หากตรงจุดนี้ไม่มีปัญหาอะไร แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน 

     แต่ในภาพรวม Spider-Man: Far From Home ถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจแหละ ไม่ได้ถึงกับผิดหวังอะไร หนังดูสนุก ดูเพลิน (มากๆ) ตลกมากกก ตัวละครมีสเน่ห์ตามมาตรฐาน ถ้าคุณเป็นแฟนหนัง Marvel และ Spidey (ซึ่งตอนนี้แอบคิดว่าน่าจะทั้งโลกแล้ว) ก็คือคงไม่มีเหตุให้พลาดด้วยประการทั้งปวง แนะนำให้ดูในระบบ IMAX อันนี้เจ๋งมาก แถมฉากหลังเครดิตเค้ามี 2 ตัวและรอบนี้ไม่จ้อจี้ เซอร์ไพร์สจริงจังและทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้ง 2 ตัว ห้ามพลาดเลยครับ

[รีวิว] Spider-Man Far From Home
--- 8.5/10 ---
ไม่ใช่การปิด Phase 3 ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นการปิดที่เหมาะสมที่สุดแล้วหละ
สนุกทั้งความเป็น Spider-Man และความเป็น Peter
ดูแล้วคิดถึง Tony ชะมัด

Spider-Man Far From Home คือหนังปิด Phase 3 ที่แท้จริงของจักรวาล MCU ที่ในตอนแรกเรานึกว่าจะเป็น Endgame ที่ปิดซะอีก ซึ่งในภาคนี้จะเล่าเรื่องราวต่อจากใน Endgame หลังจากการเสียสละสุดยิ่งใหญ่ของ Tony Stark ทำให้ Peter ต้องมาแบกรับกับความสูญเสียนั้น แถมยังต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในฐานะฮีโร่คนหนึ่งด้วย ทำให้เขาอยากพักผ่อนไปใช้ชีวิตวัยรุ่นที่เขาไม่ได้ใช้บ้าง แต่แล้วก็ซวยอีก เมื่อมีภัยครั้งใหม่มาปรากฏตัวขึ้นอีก 

ต้องบอกเลยว่าเป็นหนังฮีโร่ที่มีความเป็น คอเมดี้ ผสม coming-of-age อยู่ด้วยได้อย่างลงตัว คือเราจะได้เห็นความเป็น Peter ในรูปแบบคนธรรมดาที่ตามจีบ MJ กับการเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะฮีโร่คนหนึ่ง ที่แฝงไปด้วยมุกตลกอยู่เป็นช่วงๆ ผสมโรงด้วยตัวประกอบที่เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี แบ่งบทตัวละครได้อย่างลงตัวสุดๆ กลมกล่อมมาก เราชอบภาคนี้มากกว่า Home Coming ซะอีก ถ้าตัดความเป็นหนังฮีโร่ในจักรวาล MCU ออกไป มันก็คือหนังรอมคอม ที่ฉาบหน้าไปด้วย Spider-Man ดีๆ เนี่ยแหละ และที่สำคัญมันไม่ได้ด้อยไปในด้านไหนด้านนึงเลย เพราะบทก็ยังคงรักษาความเป็น “เพื่อนบ้านผู้แสนดี” เอาไว้เล่าอยู่ดี ไม่ได้ใหญ่เกิน ไม่ได้เล็กเกิน บาลานซ์ความเป็นมนุษย์และฮีโร่ได้ลงตัวโคตร น่าปรบมือให้ตรงนี้สุดๆ 

แต่ในด้านของความเป็น Spider-Man ในภาคนี้ค่อนข้างต่างจากภาคอื่นพอสมควร นั่นคือความรู้สึกแรกเลยที่จับต้องได้ว่า “Spider-Man ในภาคนี้ดูจริงจัง ไม่ขี้เล่นและพูดมากเหมือนภาคก่อนๆ” อาจจะเพราะด้วยความเป็นฮีโร่ ความเป็น Spider-Man ที่ต้องมารับหน้าที่ปกป้องโลกภายหลังการตายของยอด Avengers อย่าง Tony Stark (Iron Man) คนต่างก็ตั้งคำถามกับเขาว่า “ใครจะเป็น Iron Man คนต่อไป” มันอาจจะค่อนข้างหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กคนหนึ่ง เลยทำให้เขาอาจจะเป็นแบบนั้น

สิ่งสำคัญของหนังเรื่องนี้เลยคือคุณต้องเคยดูเรื่องอื่นๆ ของ MCU มาก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้ดียิ่งขึ้น ชอบการที่หนังในภาคนี้ทำให้เราได้รำลึกถึง Tony Stark อยู่เนืองๆ ตลอดทั้งเรื่อง ดั่งประโยคที่ Peter บอก “ผมไปที่ไหนผมก็เห็นแต่หน้าเขา ผมคิดถึงเขา” และไอ้ประโยคเดียวกันนี้ก็ยังส่งผ่านมาหาคนดูให้ได้รู้สึกแบบเดียวกัน 

ย่อหน้าต่อไปไม่รู้สปอยล์หรือเปล่าแต่มันก็มีจากในตัวอย่างนา ขอใส่ไว้นิดๆ ละกัน

มาทางด้านการแสดงกันบ้าง ภาคนี้ Tom Holland ยกระดับการแสดงขึ้นมาอีกระดับเลย นอกจากเราจะได้เห็นความฮา และความเนิร์ดของเจ้าตัวแล้ว ภาคนี้เราจะได้เห็นน้อง Tom เล่นบทดราม่าที่ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว รวมไปถึงเคมีอันน่ารักของน้อง Peter กับ MJ ที่แตกต่างกับภาคอื่นชัดเจน แต่น่ารักแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน ยิ่ง MJ ในภาคนี้มีเสน่ห์ขึ้นกว่าภาคแรกมาก บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต้องชมการแสดงของน้อง Zendaya เลยจริงๆ ที่สำคัญ Jake Gyllenhaal แสดงดีมากกกก ยังคงความเป็นนักแสดงมากความสามารถ แสดงได้ไม่น่าผิดหวังเลย 

แต่มันก็มีสิ่งที่ขัดๆ อยู่บ้าง 1 เรื่องคือเนื้อเรื่องมันเดาไม่ยากเท่าไหร่ (อาจจะเพราะด้วยความเราอ่านเนื้อเรื่องมาจากคอมิกส์อยู่บ้าง) และที่สำคัญเลยหลายฉากมาก ความไม่ต่อเนื่องของตัวละคร เช่น ฉากพึ่งสู้กัน หน้าเลอะเทอะ เละเทะ ผมยุ่งเหยิง ตัดมาอีกฉากเซ็ตผมหน้าใสซะงั้น อีกทั้ง CG ในภาคนี้มันไม่ลอยนะ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนเกมส์ เหมือนการ์ตูนไปสักหน่อย มันไม่ค่อยสวยงามหรือดูสมจริงสักเท่าไหร่

อีกอย่างคือ…..

สรุปแล้ว Spider-Man Far From Home ไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบในแง่การเป็นหนังปิด Phase 3 แต่มันเป็นหนังปิดที่เหมาะสมแล้ว และเป็นหนัง Spider-Man ที่สนุกเรื่องนึงเลยทีเดียว แถมยังทิ้งทวนได้น่าติดตามเพื่อนำไปสู่ Phase 4 ได้อย่างดีเลยทีเดียว

ปล. มีฉากก่อนและหลัง End-Credit อย่างละ 1 ตัว เด็ดทั้งคู่!!! ห้ามพลาด!!! 

Spider-Man Far From Home ปัจฉิมบทแห่ง Infinity Saga

หลายคนอาจหลงลืมไปว่า เรื่องราวของ MCU (Marvel Cinematic Univese) ยังไม่ได้จบลง หรือปิดฉากที่ Avengers Endgame แต่ยังมีหนังเล็กๆ ของน้องสไปเดอร์แมนอย่าง Spider-Man Far From Home ที่ทางค่ายหนังหมายมั่นเป็น Final สุดท้ายของ 3 Phase แรกของจักรวาลนี้ บางคนอาจคิดว่ามันจะยังเหลืออะไรให้เล่าได้อีก ในเมื่อความพีคก็ได้ชมกันไปแล้วใน Endgame

สไปเดอร์แมนภาคนี้ แก่นของเรื่องเลยคงหนีไปพ้นผลพวงจาก Infinity War และ Endgame ซึ่งส่งผลอย่างไรบ้างกับมนุษย์ปกติในจักรวาลนี้ หลายคำถามที่หลายคนเคยได้แต่สงสัยเพราะในหนัง Avengers Endgame ก็ไม่ได้โฟกัสกับรายละเอียดนี้แบบลงลึกเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่โดนดีดนิ้วหายไป เวลาผ่านมา 5 ปีคนที่ถูกดีดนิ้วให้กลับมา อายุยังเท่าเดิม แต่คนรอบข้างเค้าอายุแก่ขึ้นกว่าเขาแล้ว และต้องกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ ซึ่งไม่ได้ง่ายเสมอไป รวมไปถึงผลพวงจากที่ไม่มีโอรอนแมนแล้ว สไปเดอร์แมนก็เหมือนขาดเสาหลักในการยึดเหนี่ยว เขาเองก็ต้องออกปกป้องโลกตามกำลังที่เขาจะเป็นไปได้พร้อมทั้งต้องใช้ชีวิตวันเรียนกับเพื่อนๆอีกด้วย 

ยอมรับว่าตัวหนังในภาคนี้ดำเนินเรื่องตามสไตล์หนัง Teen Movie แบบที่ภาคแรกเลยก็ว่าได้ ตัวหนังเต็มไปด้วยฉากรักก๊กกิ๊กของแต่ละตัวละคร ดราม่าปัญหาชีวิตวัยรุ่นต่างๆ ขอปีเตอร์พาร์คเกอร์ และปัญหาจากวายร้ายคนใหม่ที่เขาต้องต่อสู้เพื่อปกป้องโลกใบนี้

สรุปแล้วในภาคนี้เป็นภาคที่ปิดฉาก Phase 3 ของ MCU ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว แถมยังทิ้งท้ายด้วยฉากหลังเครดิตจำนวน 2 ตัว ที่เพิ่มความพีคให้คนดู ซึ่งจะต้องคิดไปไกลแน่ๆว่าในอนาคต จักรวาลนี้จะดำเนินเรื่องไปยังทิศทางไหน 8/10ไปเลยสำหรับภาคนี้

ปล.สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมผมได้รีิวิวก่อน พอดีผมได้รับเชิญไปชมรอบเพรสของประเทศไทยที่จัดฉายไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาครับ ^^