ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับ คลินต์ อีสต์วู้ด พาคุณมันส์เดือดเลือดพล่านไปกับ คริส ไคล์ (แบรดลี่ย์ คูเปอร์) สุดยอดมือสังหารระดับพระกาฬในประวัติศาสตร์ของกองทัพอเมริกา ทว่าภายใต้ทักษะแม่นปืนของทหารฮีโร่อเมริกันคนนี้กลับซ่อนเรื่องราวมากมายเอาไว้! เมื่อ คริส ไคล์ พลแม่นปืนสังกัดหน่วยรบพิเศษของสหรัฐอเมริกา (ซีลล์) ถูกส่งไปยังอิรัก เพื่อปฏิบัติภารกิจเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ ปกป้องพี่น้องทหาร ด้วยฝีมือความแม่นยำทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตเพื่อนทหารในสนามรบมานับไม่ถ้วน ความกล้าหาญของเขาเป็นที่เลื่องลือในหมู่เพื่อนทหารหน่วยซีลล์ จนได้รับสมญานามว่า เดอะ เลเจนด์ แม้กระทั่งในแวดวงศัตรูชื่อเสียงของคริสก็โด่งดัง จนถูกตั้งฉายาจากฝ่ายศัตรูว่า ปีศาจแห่งราห์มาดี หรือ เดอะ เดวิลล์ ทำให้เขาถูกตั้งราคาค่าหัวถึง 2 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 650,000 บาท) และกลายเป็นเป้าหมายหลักของฝ่ายต่อต้าน ถึงแม้ต้องแลกกับอันตรายและการต้องสูญเสียคนรอบข้างผู้เป็นที่รัก คริสก็ยังคงเดินหน้าปฏิบัติภารกิจอันแสนทรมานในอิรักตลอดทั้ง 4 ครั้งที่ถูกส่งไป ทำให้เขากลายเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของหน่วยซีลล์ที่ว่า อย่าทอดทิ้งใคร! ทว่าในระหว่างที่เขากำลังจะได้กลับบ้านนั้น คริสก็ค้นพบว่า สงครามต่างหากที่เขาไม่สามารถทอดทิ้งไปได้
ผู้ชมทั้งหมด
6,549 ครั้ง
|
เข้าฉาย
22 มกราคม 2558
|
ออกโรงแล้ว |
27 มกราคม 2558 17:46:57 (IP 180.180.33.xxx)
|
||
American Sniper (Clint Eastwood / USA / 2014)
หนังสงครามหลายเรื่องมักจะมีจุดร่วมคล้ายๆ กันที่ทำให้เกิดความซ้ำซากจำเจคือบรรยากาศฉากรบ ฝั่งแรกคือหนังที่ต้องการเอาความมันยิงถล่มกันตูมตามวิ่งหนีกันอุตลุดดูสนุกเหนือจริงจน และซัดความตื่นเต้นตกอกตกใจใส่เราได้ตลอดเวลา อีกฝั่งหนึ่งคือหนังสมจริงสมจังที่ต้องรายล้อมด้วยความรู้สึกกดดันและตึงเครียดทางอารมณ์ที่อันตรายรอบด้านจากลูกระเบิดและหัวกระสุนจนเกิดความหวาดระแวงถึงขั้นต้องมีสติกับเนื้อกับตัวและต้องนั่งติดเก้าอี้ผ่อนคลายความตื่นตกใจที่ค่อยๆ คืบคลานความรู้สึกของเราไว้ตลอดเวลา ซึ่งเรามักจะเห็นในหนังสงครามที่สร้างมาจากเรื่องจริง และแน่นอนว่า American Sniper ปักธงดาว 50 ดาวตั้งฐานที่มั่นอยู่ฝั่งแรก
พอบรรยากาศที่ใกล้เคียงกันแล้วสิ่งที่สำคัญมากๆ คือการกำกับที่จะพาจังหวะของหนังเคลื่อนไหวไปในแนวทางไหนซึ่งปู่ Clint Eastwood ก็ทำให้เราเห็นว่าผู้กำกับวัยเก๋าฝีมือเซียนระดับรางวัลออสการ์ยังสามารถดึงมาตรฐานของตัวเองขึ้นมาจากงานหนังที่ดูดร็อปลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ได้ดีโดดเด่นในระดับที่สมน้ำสมเนื้อกับผลงานมาสเตอร์พีสก่อนหน้านั้นหลายๆ เรื่องหรอก คือถ้ามองแค่ภาพที่เห็นเพียงผิวเผินแล้วมันก็ไม่ค่อยต่างจากหนังสงครามทั่วไปในแง่ของการสร้างสรรค์ออกแบบวิธีการเล่าฉากต่าง ซึ่งก็เป็นไปตามบทบาทสถานการณ์และเรื่องราวตัวละครอย่างปกติ ไม่ได้โดดเด่นด้วยภาพหรือเครื่องมือทางภาพยนตร์อื่นเพื่อเน้นสื่อความหมาย แต่ก็แน่นอนว่ามันพกพาความสมจริงมาเต็มกระเป๋า ก่อนจะกระชากมันหายไปในฉากไคลแม็กซ์ที่ CGI วิถีกระสุนนัดนั้นมันขัดกับความสมจริงสมจังที่ผ่านมาทั้งเรื่องเสียเหลือเกิน
ส่วนของบทหนังก็เลยกลายมาเป็นส่วนเติมเต็มจุดอ่อนระหว่างทางที่ดูเหมือนเป็นหนังเชิดชูหรือแอนตี้ทางใดทางหนึ่งที่ตั้งใจให้เห็นภาพความรุนแรงและตั้งคำถามอะไรก็ไม่รู้แหละ ซึ่งตอนจบมันก็สามารถตอบสรุปได้อย่างหนักหน่วง เพียงแค่ตัวอักษรสรุปจุดจบตัวละครในท้ายเรื่องที่มีพลังสั่นสะเทือนทัศนคติอเมริกันฮีโร่ฝ่ายตรงข้ามสูงถึงขีดสุด สั่นสะเทือนไล่เลี่ยในเส้นกราฟระดับเดียวกันกับตอนจบของ Imitation Game ที่สุดท้ายความรุนแรงก็เป็นจุดจบของตัวละคร แต่ต่างกันที่ American Sniper พระเอกใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการตอบสนองอุดมคติรักชาติ แต่ใน Imitation Game พระเอกไม่หลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อของความรุนแรงจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถึงแม้ว่าทัศนคติของพระเอกทั้งสองเรื่องจะแตกต่างกัน แต่หนังเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทั้งสองเรื่องนี้ก็เป็นตัวแทนตั้งการ์ดต่อต้านสงครามและความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัดเจน สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7.5
คะแนนเฉลี่ย
7.7
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ