ผู้ชมทั้งหมด
6,581 ครั้ง
|
เข้าฉาย
23 ตุลาคม 2557
|
ออกโรงแล้ว |
31 ตุลาคม 2557 16:50:26 (IP 49.230.88.xxx)
|
||
Fury (David Ayer / USA / 2014) หนังเกริ่นแต่แรกว่าเป็นเหตุการณ์เกิดในช่วงที่ฮิตเลอร์เกนฑ์เด็กผู้ชายกับผู้หญิงมารบซึ่งมันน่าสนใจดีเพราะส่วนตัวยังไม่เคยเห็นในหนังเรื่องไหนที่จะหยิบยกมาเล่า แต่ไปๆ มาๆ คนทำไม่ได้นำพาจุดนี้มาขยี้ขยายจุดนี้ให้เป็นประเด็นไคลแม็กซ์ที่คาดว่าจะได้เห็นซึ่งเราติดกับตั้งตารอชมมันมาแล้วตั้งแต่ต้น แต่ก็ดีที่อย่างน้อยก็เป็นตัวประกอบในเหตุการณ์ช่วยเล่าพัฒนาการตัวละครได้อยู่บ้าง เออ..แต่ถ้าดูไม่ผิดมันก็ถูกหยิบมาเป็นเหตุผลในฉากไฟนอลอยู่เหมือนกัน ตัวละครสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาเรื่องราวมากที่สุดก็คือตัวละครของ Logan Lerman ที่ตอนแรกคาดว่าจะแค่สมทบเล็ก แต่จริงๆ แล้วโดดเด่นกว่า Shia LaBeouf ที่เล่นบทเป็นทหารผู้ศรัทธาในพระเจ้าเสียอีก ส่วนตัวละครของ Brad Pitt ก็เหมือนเป็นอาจารย์สอนชีวิตในสนามรบกลายๆ ให้ตัวละครของเลอร์แมน ให้ฝึกมือเรียนรู้ความเกลียดชังศัตรูจากแต่แรกที่เป็นเสมียนหน่อมแน้มโปแตสแตนท์ในสมรภูมิที่ไม่กล้าฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้กลายเป็นหนึ่งในแขนขาที่พึ่งของทีมที่นำกองกำลังรถถังไต่ตะขาบยึดเมืองในเยอรมันไปเรื่อยๆ พล็อตประมาณนี้มันก็เลยดูไม่มีอะไรพิเศษไปด้วย ส่วนที่ทำไม่ได้ให้ชอบหนังไปมากกว่านี้คือจุดเปลี่ยนของตัวละคร นอร์แมน ของ Logan Lerman เนี่ยแหละที่รู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อย เราไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของหนุ่มทหารอเมริกันกับสาวเยอรมันที่มีเซ็กซ์กันไม่กี่นาทีเจอหน้าพูดคุยกันไม่กี่ชม.จะอาลัยอาวรณ์จนเปลี่ยนทัศนคติการฆ่าไม่ฆ่าได้รวดเร็วขนาดนี้กลายเป็นผู้กล้าขนาบจ่าฝูงขึ้นมาเลย อีกจุดหนึ่งคือความเป็นคนดีของนอร์แมนตัวแทนคนดีศรีอเมริกันที่ย้ำไปหน่อยอีกนั่นแหละ สำหรับส่วนที่เพลิดเพลินคือฉากยิงกันมันดีแสงปืนเขียวแดงทำให้นึกถึงสตาร์วอร์สทุกฉากไปทั้งแสงสีเสียงปืนพาให้เสียวสันหลังระทึกได้ไม่หยอกเลย อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือการที่เห็น Shia LaBeouf ศรัทธาพระเจ้าท่องคัมภีร์มีฉายาว่าไบเบิ้ลมันแปลกหูแปลกตาและบันเทิงดี ปล.สงสัยอย่างหนึ่งว่าระเบิดสองลูกระเบิดในรถถังแคบๆ มันน่าจะแรงกว่านั้นหรือป่าววะ? สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
7.5
คะแนนเฉลี่ย
7.4
|
||
26 ตุลาคม 2557 13:48:20 (IP 180.183.111.xxx)
|
||
Fury (2014) David Ayer
การหยิบจับเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สองมาเล่าโดยมีเหล่าทหารอเมริกันเป็นตัวชูโรงเข้าปะทะกับนาซีของฮิตเลอร์คงเป็นประเด็นที่ถูกเล่าซ้ำจนแทบไม่เหลืออะไรสดใหม่แล้ว แต่ Fury ที่ใช้บริบทเดียวกันนี้มาเล่าอีกครั้งกลับหาทางออกที่น่าสนใจมากทีเดียวเมื่อหนังเล่าเรื่องโดยโฟกัสมุมมองของหน่วยทหารรถถังอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ระบบการทำงานเป็นทีม การรบโดยรถถัง ความสัมพันธ์ของสมาชิกทั้งห้าคนภายในรถถัง และจิตใจของพวกเขาที่พันผูกและแตกสลายภายใต้ความรุนแรงของสงครามรถถังที่ไม่ได้เป็นแค่กิมมิกในการเล่าเรื่องเท่านั้น แต่แผ่นเกราะที่โอบอุ้มชีวิตของสมาชิก ปืนใหญ่ที่คร่าล้างศัตรู ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตจิตใจของเหล่าทหาร และกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของหนังเรื่องนี้ หนังเปิดเรื่องด้วยการที่ทีมของจ่า Don เป็นรถถังเพียงคันเดียวที่รอดเหลือจากการโจมตีของรถถังเยอรมันซึ่งมีศักยภาพเหนือกว่า หนึ่งในสมาชิกในทีมเสียชีวิต ทำให้พวกเขาได้ทหารเด็กไก่อ่อนผู้ไม่เคยผ่านสงครามหรือกระทั่งจับปืนยิงใครอย่าง Norman มาประจำตำแหน่งปืนกลแทนสมาชิกที่เสียชีวิตไป ด้วยสำนึกที่ไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกความจริงของสงคราม Norman ไม่ยอมยิงทหารนาซีซึ่งยังเป็นเด็กเท่านั้นทำให้หน่วยทหารถูกโจมตีและสูญเสียพวกพ้อง ทำให้ Don ต้องสั่งสอนให้ประโยคสัจธรรมในสงครามอย่าง “ไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา” ให้ผนวกเข้ากับสัญชาติญาณและชุดศีลธรรมของเด็กไร้เดียงสาอย่าง Norman จนเขาต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรฆ่าคน เป็นส่วนหนึ่งของรถถังอย่างเต็มตัว นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นในหลายๆ ฉากที่หนังแสดงให้เห็นถึงบาดแผลของเหล่าทหารที่กรำศึกสงครามมานานปี ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยแผลเป็นที่น่ากลัวที่ปรากฏให้เห็นตามร่างกาย และบาดแผลภายในจิตใจที่ฉากที่ขับเน้นความซับซ้อนของสภาพจิตใจของพวกเขาได้น่าสนใจคือฉากบทสนทนาบนโต๊ะอาหารช่วงกลางเรื่องที่เต็มไปด้วยความยียวนกวนประสาท ความกระอักกระอ่วน รูปแบบความสัมพันธ์เฉพาะภายในทีม และการพยายามกดทับความรุนแรงภายในใจตัวเอง สิ่งที่หนังทำได้ดีมาก และเชื่อว่าจะเป็นไฮไลต์ภาพจำไปอีกนานคือการจำลองการรบด้วยรถถังที่ทำออกมาได้สมจริงสมจัง ดีไซน์ในแต่ล่ะซีนเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ ฟังค์ชันของรถถังทุกรายละเอียดถูกหยิบจับมาใช้อย่างมีประโยชน์ทั้งในเชิงความเป็นจริงและอารมณ์แอคชั่น โดยเฉพาะไคล์แมกซ์ของหนังที่ไต่อารมณ์อย่างพิถีพิถัน เข้มข้น และยังคลี่คลายตอนจบของตัวละครทุกตัวกับรถถังที่กลายเป็นบ้านของพวกเขาได้น่าประทับใจ สำหรับตัวละคร Norman ตอนจบของเขาทำให้คิดถึงหนังเรื่องเยี่ยมเมื่อปีที่แล้วอย่าง Captain Phillips ที่แม้จะไม่ได้เฉียบคมเท่า แต่แผลที่จะติดในใจของเขาตลอดไปก็คงตอกย้ำถึงประโยคทองที่ Don ผู้เปรียบเป็นพ่อในสนามรบของเขาได้เคยกล่าวไว้ให้เขาฟังว่า “อุดมการณ์คือสันติ ประวัติศาสตร์คือความรุนแรง”
สรุปผลวิจารณ์หนัง
บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
8
|
ยังไม่มีรีวิวหนังเรื่องนี้
ก้าน แสนบรรดิษฐ์
4 มกราคม 2558 12:24:21 (IP 101.109.78.xxx)
|
||
GUEST |
มันมาก
|
|
สุวนัส
19 พฤศจิกายน 2557 23:20:19 (IP 101.108.157.xxx)
|
||
GUEST |
ดีมาก
|
ถูกใจ
ไม่ถูกใจ